เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious มหากาพย์ภาพยนตร์แอ็คชั่นรถแข่งที่ดำเนินมาถึง 9 ภาค กับอีก 1 ภาคแยก ถือว่าได้ว่าเป็นเฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่มาไกลจากจุดเริ่มต้นมากทีเดียว จนมีหลายต่อหลายคนพูดว่าเนื้อหาเรื่องถูกแถไปไกล จนเกินกว่าเป็นภาพยนตร์รถซิ่งรถแต่งไปแล้ว ซึ่งตรงนี้ก็มีประเด็นชวนให้คิดครับว่า แท้จริงแล้ว Fast & Furious เดิมทีมันเป็นภาพยนตร์รถซิ่งจริง ๆ หรือ ?หลายคนคงจะมีคำถกเถียงกันนะครับเพราะหากย้อนไปยัง Fast & Furious 1 เราจะได้เห็นรถแต่งมากมายหลายรุ่น มาโลดแล่นบนถนนสาธารณะ มีรถที่น่าจดจำก็คือ Dodge Charger ของดอม และ Toyota Supra ของไบรอัน ที่เป็นสัญลักษณ์ไอคอนของภาคแรก หรือจะเป็นภาคที่ 2 เราก็จะได้เห็น Nissan GT-R ของไบรอันโดดเด่นที่สุดในเรื่องและมีการแข่งรถแบบ Street สุดมันส์ที่มารูปภาพ: The Fast Sagaแต่ทว่าเนื้อหาของ Fast & Furious จริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีแค่แข่งรถครับ นั่นเป็นเพียงส่วนเสริมของเรื่องเท่านั้น เพราะเนื้อหาหลักจริง ๆ มันคือเรื่องของตำรวจ-โจร อาชญากรรม การแฝงตัวเข้าไปเป็นผู้ร้ายเพื่อสืบหาความลับ โดยมีรถซิ่งเป็นส่วนประกอบต่างหาก ที่เป็นแกนหลักของเรื่องภาคแรก ๆ ครับ แม้กระทั่งภาคถัด ๆ มาอย่าง 4, 5, 6, หรือ 7 เองก็ยังคงความเป็นแอ็คชั่นสืบสวน เพิ่มความเป็นจารกรรมเข้าไปด้วย แต่จะมีสเกลความยิ่งใหญ่ของเรื่องเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเองทีนี้ประเด็นดังกล่าวมันถูกพูดถึงกันได้อย่างไร ก็ต้องมาดูที่ภาพยนตร์ภาคที่ 3 ของเฟรนไชส์นี้กันครับเพราะมันคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Fast & Furious มาไกลถึงวันนี้ได้ เนื่องจากภาคที่ 3 ในชื่อ Tokyo Drift จะเป็นการเล่าเรื่องราวใหม่โดยไม่เกี่ยวข้องกับภาค 1 หรือ 2 เลย แถมตัวละครก็เปลี่ยนใหม่ ที่สำคัญคือเนื้อเรื่องจะเป็นการแข่งรถล้วน ๆ บวกกับการแข่งแบบดริฟท์ที่ตื่นตาตื่นใจ แถมยังเป็นรถซิ่งสาย JDM ที่ได้รับความนิยมทั่วโลกที่มารูปภาพ: The Fast Sagaนอกจากนี้เรื่องรายได้ก็ทำเงินได้พอสมควร ผิดกับสองภาคแรกที่รายได้ไม่สู้ดีนัก เหตุนี้เลยทำให้ภาพลักษณ์ของภาพยนตร์เปลี่ยนไป จากการแข่งรถที่เป็นส่วนประกอบเสริมกลายเป็นแกนหลัก มันก็เลยทำให้แฟน ๆ คาดหวังว่าภาคต่อ ๆ ไปจะต้องเป็นการแข่งรถซิ่งแน่นอน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นอย่างที่เห็นกันครับดังนั้นการจะบอกว่า Fast & Furious เป็นหนังรถแข่งล้วน ๆ คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะอ้างอิงจากภาคแรกที่เนื้อหาหนังจะหนักไปทางสืบสวนแฝงตัวในกลุ่มอาชญากรรมเสียมากกว่า ส่วนภาค 4 เป็นต้นไปก็เหมือนจะเดินตามรอยภาค 1 กับ 2 แต่ยกระดับสเกลหนังให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น ทำให้ภาคที่ 3 กลายเป็นภาคที่แปลกแยกจากภาคอื่น ๆ แทนเสียอย่างนั้นที่มารูปภาพ: The Fast Sagaแต่ถึงอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าเฟรนไชส์ Fast & Furious ถูกขยับขยาย (แถเนื้อหา) ให้กลายเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นกึ่งฮีโร่ไปเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้จากการที่กลุ่มของ ดอม กลับมารวมตัวซ้ำแล้วซ้ำอีก พร้อมกับปฏิบัติการที่ราวกับว่าพวกเขาเป็นหน่วยรบพิเศษ ทั้งที่รากฐานเดิมแล้ว "ครอบครัวโทเร็ตโต้" เป็นเพียงแก๊งซิ่งรถข้างถนนเท่านั้นอาจจะสรุปได้ว่าจริง ๆ แล้ว Fast & Furious ไม่ใช่หนังรถแข่งแบบดั้งเดิมอย่างที่พูดกัน แต่ว่ามันถูกขยับขยายเรื่องราวให้โอเวอร์มากขึ้นมากกว่า ซึ่งการทำแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับ เพราะการจะขายเฟรนไชส์หนังได้ ก็ต้องหาทางหาเหตุผลไปต่อให้ได้ล่ะครับ นอกจากนี้ผู้กำกับก็ไม่ได้ลืมใส่สิ่งสำคัญลงไปนั่นคือ บรรดารถซิ่งสวย ๆ ที่ปรากฏให้เห็นทุกครั้ง ก็พอตอบสนองให้แฟน ๆ ที่เป็นคอรถซิ่งได้พอเป็นน้ำจิ้มครับที่มารูปภาพ: The Fast Sagaก็เอาเป็นว่าดูเพื่อความบันเทิงล่ะครับ แม้ว่าการเดินทางของเฟรนไชส์นี้จะเริ่มเล่นใหญ่มากขึ้นก็ตาม ส่วนภาพยนตร์ภาคล่าสุดอย่าง Fast 9 จะได้ฉายเดือนเมษายนปี 2021 เนื่องจากพิษไวรัส Covid-19 ทำให้ภาพยนตร์จำเป็นต้องเลื่อนฉายไปอย่างน่าเสียดายครับที่มารูปภาพปก: The Fast Saga