รีเซต

ลูกสาวเปลี่ยนชีวิต!! เจจินตัย รับไม่อายกลับมามีงานเพราะลูก เผยแพลนหันหลังให้วงการ

ลูกสาวเปลี่ยนชีวิต!! เจจินตัย รับไม่อายกลับมามีงานเพราะลูก เผยแพลนหันหลังให้วงการ
Entertainment Report_3
8 ธันวาคม 2563 ( 13:56 )
430

ข่าวบันเทิงวันนี้

เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก สำหรับคุณพ่อหุ่นล่ำ "จิม เจจินตัย อันติมานนท์" ที่มีลูกสาวน่ารัก น่าเอ็นดู ที่กลายเป็นขวัญใจทุกคนที่ได้เห็น แถมยังมีแฟนคลับติดตามดูความน่ารักของ "น้องพลอยเจ" มากมาย ซึ่งคุณพ่อเจจินตัยที่ได้มา "รายการ ต้มยำอมรินทร์" ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เผยว่ารู้สึกตัวเองโชคดีมากเพราะมีลูกเป็นอภิชาตบุตร เพราะทุกคนพอเอ็นดูลูกก็จะนึกถึงเรา ยอมรับทุกวันนี้กลับมามีชื่อเสียงได้เพราะลูก ส่วนจะมีคนที่สองหรือไม่นั้นทุกอย่างให้ภรรยาเป็นคนตัดสินใจ ส่วนตัวได้วางแพลนอำลาวงการแล้วย้ายพาครอบครัวไปอยู่อเมริกา

เจจินตัย รับไม่อายกลับมามีงานเพราะลูก เผยแพลนหันหลังให้วงการ 

เจจินตัย : ช่วงที่มาปรับเปลี่ยนร่างกายด้วยการออกกำลังกายเพราะเรารู้สึกว่าเราปาร์ตี้หนักมา 20 ปีแล้วเรารู้สึกอิ่มตัว มันสนุกจนเบื่อ แล้วก็เราก็เป็นคนที่ออกกำลังกายมานานแล้ว บวกกับการดื่มเหล้ามาก เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องมีเทนเนอร์ พอมีรู้สึกเหมือนมีครูเลย และรู้สึกถึงการเปลี่ยนเร็วมาก 6 เดือนคือ เขาสอนวินัยเรื่องการกินอาหาร และรูปร่างเราเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เพราะเราเป็นคนไม่มีตรงกลางไม่ทำคือไม่ทำ แต่ถ้าทำคือตั้งใจทำมาก ๆ

ช่วงที่จริงจังกับการออกกำลังกาย เสื้อไม่มีความสำคัญในชีวิตเลยใช่มั้ย? 
เจจินตัย : ตอนนั้นเล่นกับเต้ด้วย เลยมีลงรูปตลอดครับ เพราะเราจริงจังเราเลยลงไว้เพื่อที่จะดูตัวเองด้วย ไว้พัฒนาการตัวเองแล้วคือ เราเล่นเองมา 10 ปี แต่พอเรามีเทนเนอร์รูปร่างเราเปลี่ยนภายใน 6 เดือน ก็เลยโชว์ยิ่งเล่นเรายิ่งอิน เล่นวันละ 5 ชั่วโมงเลยตอนนั้น ซึ่งมันเยอะไปนะครับ 

เลยกลายเป็นขวัญใจ สาวแท้ สาวเทียว ชาวสีม่วงทั้งประเทศไทยเลย?
เจจินตัย : ช่วงนั้น กลุ่มดาราที่มีซิกแพคมันน้อยตอนนั้นมีแค่เรา เต้ กำปั้น เกือบประกวดเพาะกายเลย คือ ไปไกลมาก และทำอาหารคลีนด้วย คือ ทานแต่อกไก่ บล็อคโคลี่ เท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วคนจะเข้าใจว่าการที่จะลีนเราต้องกินอาหารที่คลีนเท่านั้น แต่ผมเอาตัวเองเป็นคนทดลองว่าเรากลิ่นอาหารที่มีรสชาติได้ แต่เราต้องทานในปริมาณที่โลโซเดียม (ไม่ทานอาหารที่มีรสเค็มมาก) หวาน เค็ม นี่อันตราย อาหารที่มีรสเค็ม หนักกว่าหวานครับ 

เพราะมีรูปร่างที่ดีขนาดนี้ มีสาว ๆ เข้ามามากมายจนเป็นภาพลักษณ์ของผู้ชายเจ้าชู้? 
เจจินตัย : ภาพนี้เป็นมาตั้งแต่เข้าวงการเลยครับ แต่หมดแล้ว เมื่อก่อนก็ยอมรับนะครับว่าเจ้าชู้จริง ยุคนั้นดาราน้อยเราก็เลยเพลินไปตอนนี้เลิกแล้วครับ นิสัยเจ้าชู้ เพราะมีลูกด้วยแล้วครับ 

เห็นว่าช่วงที่ฮอต ๆ มีละคร 11 เรื่องเลยและถ่ายพร้อมกันด้วย? 
เจจินตัย : มีบทที่เป็นบู๊ แอคชั่น เป็นอะไรมาก็ส่วนใหญ่จะได้รับบทร้ายอยู่แล้ว 11 เรื่องเราไม่ได้อยู่ทุกตอนนะครับ บางเรื่องก็ 7 ตอน 8 ตอน พอเราจะถ่ายเรื่องนี้จบเรื่องใหม่ก็เปิดกล้องพอดีเป็นการเชื่อมต่อกัน 7 วัน คือ ถ่ายละคร 7 วันเลย จันทร์ อังคาร พุธ 2 เรื่อง พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ 4 เรื่อง การอยู่ในวงการนี้คือ ถ้ายอมแพ้ก็จบ แต่ถ้าเรามีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ งานก็จะมีเข้ามาให้เราเรื่อย ๆ ครับ 

ขอย้อนกลับไปถามเรื่องที่เราเป็นนักแสดงวัยรุ่น แล้วเราต้องเปลี่ยนตัวเองมาเป็นอีกแบบของการแสดงชีวิตช่วงนั้นเป็นยังไงบ้าง?
เจจินตัย : ตอนนั้นเราเหมือนเป็นพระเอกช่วง 90 ทุกคนเต็มที่กับเราหมด แต่พอเราเปลี่ยนมาเป็นตัวสอง คนที่เราเจอเปลี่ยนไปจริง ๆ นะครับเป็นสัจธรรมมาก เราไม่กลัวที่เราไม่ได้เป็นพระเอกนะครับ แต่เราแค่เฮิร์ทมากกว่าเพราะความรู้สึกเปลี่ยนไป เพราะพระเอกก็จะมีคนมาอวยอะไรก็ดีไปหมด แรก ๆ ก็สัมผัสได้นะครับ แต่เราก็ทำใจได้เข้าใจได้เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป 

ในช่วงที่เปลี่ยนแปลงในเรื่องการแสดง คือ เป็นข่วงที่เราแต่งงานพอดีเลยไม่ค่อยมีคนรู้เท่าไหร่ แต่ที่กลับมาฮอตได้เพราะลูกสาว พลอยเจ ดึงกลับมา?
เจจินตัย : ด้วยความที่เราไม่ชอบเป็นข่าวอยู่แล้วเราก็จัดไม่ได้ใหญ่มากเราก็จดทะเบียนกับภรรยาอย่างถูกต้อง และเราก็จัดกันในครอบครัวเราไม่ได้คิดว่าจะเป็นประเด็นที่คนจะสนใจอะไรขนาดนั้น เราก็ใช้ชีวิตปกติแต่พอเรามีลูกเราก็ลงรูปลูกเรา แต่มีคนมาสนใจในความน่ารักของพลอยเจเยอะ คือ ชีวิตเราเปลี่ยนเลยเพราะมีแต่คนมาเอ็นดูลูกเราเพราะพอเขาเอ็นดูแล้วเขาก็มานึกถึงเรา (ซึ่งหนึ่งในคนที่เอ็นดูลูกเราก็ คือ พี่อ้วนเลยครับ) เพราะพี่อ้วน เข้ามาคอมเมนต์ หนูน่ารักจังนะคะลูก เราก็ดูใครปรากฎว่าเป็น พี่อ้วน (ยิ้ม)

ซึ่งก็เห็นว่าเราก็ส่งเสริมเขาให้เรียนการแสดงตั้งแต่ 3 ขวบเลย?
เจจินตัย : ใช่ครับ พยายามให้เขาได้ลองเรียนหลายๆอย่างเพราะเราอยากรู้ว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร พาไปเรียนแอคติ้งแล้วเรารู้สึกว่าเขาชอบเราก็เลยไปต่อ ให้เขาเรียนเป็นกลุ่มเลยครับ เพื่อที่จะได้ละลายพฤติกรรมกล้าออกสังคม ไปเจอกล้อง เราได้เห็นเขาก็มีความสุขมีเพื่อน ลูกเป็นคนที่มีเอนเนอร์จีเยอะชอบว่ายน้ำ เตะฟุตบอล อย่างงานละเอียดพวกทำอาหารลูกบอกว่าไม่เอาเลย แต่ถ้าถามว่าจะดันให้เล่นละครไหม ไม่ได้ดันหรอกครับ เพราะโลกของการเล่นละครมันเหนื่อยมาก

แล้วถ้ามีคนติดต่อให้เขาเล่นละคร?
เจจินตัย : ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับ ตอนนี้ยังไม่ใช่วัยเขาเล่น

ไม่ให้ลูกเล่นละคร แต่พาลูกเข้าวัดเพิ่งมาหรือทำมานานแล้ว?
เจจินตัย : เรื่องการทำบุญทำมาตั้งแต่อายุ 15 แล้วนะครับ แต่ว่าเราไม่ได้มีโซเชียลอะไรเท่ากับทุกวันนี้ ตอนนี้นี้มีเราลงก็ได้เห็นว่าเราทำอะไรบ้าง เราทำบุผิดเราก็สงบ แล้วเราก็ให้เขาซึมซับไปเรื่อยในสิ่งที่เราทำหรือเราพาเขาไปผมพาเขาเข้าวัดตั้งแต่ 4 เดือน จนตอนนี้เขาสวดมนต์ได้ 

มีลูกสาวน่ารักขนาดนี้ทำไมไม่คิดว่าจะมีอีกสักคน?
เจจินตัย : ตัวเราเองอยากจะมี แต่ภรรยาเดี๋ยวก็อยาก เดี๋ยวก็ไม่อยาก เรื่องนี้มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจแต่ละคนด้วยเนอะครับ เพราะว่าเขามีความรู้สึกว่าไม่รู้จะแชร์ความรักยังไงเพราะว่ารักคนนี้มาก ส่วนผมคือ อยากมีลูกชาย แต่สุดท้ายปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเพราะว่าถ้าเขาพร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นเพราะภรรยาต้องเป็นเจ้าบ้านใช่ไหม (หัวเราะ) 

แล้วจริงไหมที่ จะย้ายไปอยู่ที่อเมริกา?
เจจินตัย : ใช่ครับ เพราะผมมีหุ้นส่วนเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่ อเมริกา ไว้แล้ว ทำมา 7 ปีแล้วเลยอยากพาลูกไปลุย ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะไปตั้งแต่เดือนเมษายน แต่เพราะโควิดมาก็เลยพักไว้ก่อน 

ที่ไปคือไปเที่ยว หรือ ไปยังไง?
เจจินตัย : ไปอยู่ถาวรเลยครับ ไปเป็นนักลงทุนที่โน้นเลย ละครหรือสิ่งที่เราจะสูญเสียไปก็ไม่เสียดายครับ รู้สึกแลกกันเพราะอยู่ที่นั่นก็มั่นคง อยู่ที่ลูกสบายไป เพราะมีแต่คนเอ็นดู รัก ช่วยเหลือ ถ้าเราไปอยู่ที่อเมริกาสัก 10-15 ปีแล้วกลับมาลูกน่าจะกลายเป็นคนแข็งแกร่ง ประสบความสำเร็จในชีวิต ผมบินไปดูที่เรียนให้ลูกแล้วนะครับ ไปดูสถานที่ ไปดูโลเคชั่นร้านเรียบร้อยแล้ว 
เจจินตัย : แต่ตอนนี้ ยังไปไม่ได้เลยรับงานต่อก่อนครับ แล้วค่อยดูทิศทางอีกครั้ง เพราะว่าถ้าเราไปเลยตอนนี้ แปลว่าเราตัดทุกอย่างทางนี้เลย ตอนนี้เลยต้องดูสถานการณ์ เศรษฐกิจ และ ความปลอดภัยก่อนครับ ซึ่งภรรยาผมอยากไปมาก อยากพาลูกไปลุย 

ไปเห่อลูกเองไม่เห่อซิกแพคแล้วเหรอ?
เจจินตัย : ไม่เห่อแล้วครับ ไม่มีใครห้ามเลย เพราะเกรงใจลูกมาก ๆ เพราะเรามีลูกแล้ว เพราะบางทีเราลงรูปหน้าเราเอง แต่มีคนมาคอมเมนต์ว่า ไม่เอารูปพ่อจะเอารูปลูก  

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :