วิเคราะห์หนังน้ำดีที่ไม่ค่อยแมส “Hidden figures” ขยี้ปมสีผิวในยุค 60’s อคติและความก้าวหน้าของมนุษย์ Hidden figures ทีมเงาอัจฉริยะ หนึ่งในภาพยนตร์ที่เคยถูกเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมครั้งที่ 89 โดยมีรายชื่อเข้าชิงถึง 3 รางวัล ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (ออคเทเวีย สเปนเซอร์) Hidden fingers เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติอเมริกันแนวดราม่าในปี 2016 โดยผู้กำกับ ธีโอดอร์ เมลฟี ดัดแปลงจากนิยายขายดีของ margot lee stetterly ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการแข่งขันด้านศักยภาพทางอวกาศระหว่างอเมริกา และโซเวียต ในยุคสงครามเย็น ในความพยายามที่จะเป็นชาติแรกที่สามารถส่งยานอวกาศไปโคจรรอบโลกได้ โดยผ่านตัวละครผู้หญิง 3 คน ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญขององค์กร NASA ที่นอกจากจะต้องโดนกดดันในการทำงานแล้ว ยังต้องต่อสู้กับประเด็นการเหยียดสีผิว และอำนาจของผู้หญิง จนได้กลายมาเป็นบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จขององค์กร NASA ซึ่งนำแสดงโดย ทาราจิ พี. เฮนสัน (รับบทเป็นแคทเธอรีน จอห์นสัน นักคณิตกร ที่เก่งในการคำนวนฟิสิกส์) และออคตาเวีย สเปนเซอร์ (รับบทเป็นโดโรธี วอห์น คณิตกร ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม) จาเนลล์ โมเน (รับบทเป็นแมรี แจ็กสัน นักคณิตกรผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์) ร่วมด้วย ในยุคสงครามเย็น ที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตต่อสู้กันโดยความพยายามที่จะเป็นที่หนึ่งหรือความพยายามที่จะเป็นชาติแรก โดยเฉพาะในด้านความก้าวหน้าทางอวกาศ โดยที่สหภาพโซเวียตได้ก้าวนำอเมริกาไปหลายก้าวทั้งการเป็นประเทศแรกส่งดาวเทียมโคจรรอบโลก และเป็นชาติที่ส่งมนุษย์และสัตว์ขึ้นไปบนอวกาศ ส่งผลให้ฝั่งอเมริการีบเร่งเครื่อง ถึงขนาดยกการสำรวจอวกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ นักวิทยาศาตร์ในองค์กรณ์ NASA ต่างถูกดึงตัวไปทำภารกิจนี้ รวมถึง "แคทเธอรีน" (ทาราจิ พี. เฮนสัน) นักคณิตกรณที่ถูกดึงตัวไปช่วยทีมคำนวนทางฟิสิกส์ที่ถูกกีดกันและไม่ยอมรับจากสีผิว "โดโรธี" (ออคตาเวีย สเปนเซอร์) หัวหน้าทีมคณิตศาสตร์ ที่ต่อสู้กับตำแหน่งหน้าที่การงาน และการเข้ามาแย่งงานของระบบคอมพิวเตอร์ IBM "แมรี" (จาเนลล์ โมเน) ความสามารถด้านวิศวกรที่ไม่ได้รับการยอมรับจากเพศสภาพและสีผิว ภายใต้การต่อสู้ระหว่างชาติ การคำนวณทางคณิตศาสตร์เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก ในสมัยนั้น ตัวเลขทุกตัวยังคงต้องใช้การคำนวณด้วยมือและเครื่องคิดเลขเท่านั้น ซึ่งเป็นงานที่ใช้แรงงานอย่างมาก แต่องค์กร NASA กลับมอบหน้าที่นี้ให้พลเมืองชั้นล่าง นั่นก็คือผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นผู้หญิงผิวสีทั้งหมด แต่ในหน่วยงานสำคัญ ทางด้านวิศวกรรมการบินและภารกิจอวกาศกับมีเพียงชายผิวขาวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตที่ได้ทำ ทำให้ตัวละครหลักทั้ง 3 รวมถึง ตัวละครผิวสีทั้งหมดถูกตัดขาดออกจากวงสังคมที่ได้รับการยอมรับ แม้จะมีความรู้ความสามารถมากเพียงใดก็ตามสีผิวและความเป็นสตรี นอกจากจะเห็นการต่อสู้ทางด้านอวกาศของสองชาติแล้ว หนังเรื่องนี้ยังถ่ายทอดเรื่องประเด็นสีผิวที่ถูกเหยียดและเป็นที่รังเกียจอย่างรุนแรงในสังคมยุคนั้น ทั้งการแยกห้องน้ำ หรือการแบ่งโซนการนั่งรถประจำทาง ไม่ให้มารวมกับคนผิวขาว ซึ่งการที่เป็นคนผิวสีในยุคนั้นว่ายากแล้ว แต่ตัวละครยังต้องต่อสู้กับความเป็น"สตรี" ที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ แบบฝังรากลึกมาอย่างยาวนาน ทั้งหน้าที่การงานที่ถูกจำกัดไว้ให้ผู้ชายเท่านั้น และการที่ผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงผิวสีจะเข้าทำหน้าที่นี้เป็นสิ่งที่ขัดต่อระเบียบองค์กร และค่านิยมของสังคม ซึ่งหนังมีทั้งมุมที่ให้เห็นถึงการด้อยค่าสตรีที่ไม่ใช่แค่กับคนผิวสี แต่สตรีผิวขาวก็โดนด้อยค่า ซึ่งได้แต่เพียงทำหน้าที่เป็นเลขา คอยชงกาเเฟให้เท่านั้น สะท้อนให้ว่าถึงแม้จะมีความสามารถมากขนาดได้ทำงานให้องค์กรนาซ่า แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับใดๆ สิ่งที่เป็นจุดพีค และเป็นฉากประทับใจที่สุดคือ ฉากที่ตัวละครหลัก "แคทเธอรีน" ที่ถูกกดดันตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้าไปช่วยคำนวนทางฟิสิกส์ ที่ทั้งแผนกมีเธอคนเดียวที่เป็นผู้หญิงและมีสีผิวที่แตกต่าง เธอไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ หากแต่ถูกกีดกันไม่ให้แสดงความสามารถเกินตัวหรือเกินหน้า เธอต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่จำทน แม้เเต่การเข้าห้องน้ำก็ต้องใช้เวลาไปเป็นชั่วโมง เพียงเพราะห้องน้ำสำหรับคนผิวสีถูกแยกไปอีกตึก และไม่ได้รับอนุญาติให้ใช้ร่วมกับคนผิวขาว โดยที่หัวหน้าจดจ่ออยู่กับการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ และไม่ได้สนใจว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างในแผนก แต่กลับตำหนิว่าทำไมมาทำงานสายทุกวัน และฉากนี้ก็เป็นฉากที่ทำให้แคทเธอรีนถึงขีดสุด และพรั่งพรูอารมณ์และความรู้สึกออกมา ด้วยความคับแค้นใจ ผ่านการแสดงที่น่าประทับใจของตัวละครหลัก (ทาราจิ พี. เฮนสัน) ซึ่งฉากนี้ทำให้คนดูปลดล็อกไปด้วย เพราะตลอดการดำเนินเรื่องที่ผ่านมา เต็มไปด้วยความอึดอัดที่ตัวละครจะต้องโดนกระทำอย่างเดียว โทนของหนังเรื่องนี้จะเน้นไปที่ประเด็นสีผิว ที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม และบรรยากาศยุค 60’s ทั้งโทนสีที่ดูอึมครึม การแต่งตัวทั้งของคนขาวและคนผิวสี และการบรรเลงที่ดังในยุคนั้นมาประกอบ ส่วนประเด็นทางวิทยาศาสตร์ การคำนวณนั้นก็จะรองลงมา เน้นตัวละครที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่า ไม่มีจุดพีคหรือจุดที่หักมุมมากนัก เป็นแนวทางผู้ชมพอจะเดาได้ว่าจะจบแบบไหน ด้วยความที่มีต้นเเบบจากอัตชีวประวัติจริง สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์และมีชีวิต ก็คือการถ่ายถอดของนักแสดงหลัก รวมถึงนักแสดงเสริมที่หนังสะท้อนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นตัวร้าย แต่ยังมีตัวละครที่ซัพพอรต์ตัวละครหลักอยู่เครดิตภาพปก จากfacebook Hidden figuresเครดิตภาพ1/ภาพที่2/ภาพที่3/ภาพที่4/ภาพที่5/ภาพที่6 จากfacebook Hidden figures จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !