Short Comment นี่คือหนังที่ต้องดูในโรง แต่เมื่อไม่ได้ดูในโรง ก็ต้องแลกกับบางอย่างที่จะหายไป เพราะนี่คือหนังภาคต่อของหนังของเล็กๆ ทุนสร้างไม่เท่าไหร่ แต่อาศัยความสดใหม่ และการเล่นกับอารมณ์คนดู ซึ่งก็ทำให้หนังประสบความสำเร็จมากมาย และทำให้มีหนังแนวๆนี้ตามออกมา เท่าที่เห็นๆก็สองเรื่องทาง NETFLIX (Silence (2019) และ Bird Box (2018)) และเมื่อมันใช้ทุนน้อย แต่กำไรโคตรเยอะ หนังได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี เมื่อได้ทั้งเงินทั้งเสียงวิจารณ์เชิงบวก มีหรือจะไม่มีภาคต่อตามมา แม้ว่า บทสรุปจะลงตัวแล้ว นั่นก็คือ จะมีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เสียหายสำหรับการสานต่อ แต่ ใครเล่าเขาจะสนสุดท้าย เมื่อมีการสานต่อตามมา จึงมีสิ่งที่ จอห์น คราซินสกี้ ที่รับบทกินรวบ ทั้งกำกับ เขียนบท (ร่วม) และแสดงนำ ทั้งสองภาคต้องแลกเช่นกัน นั่นคือ #ดินแดนไร้เสียง จะไม่สดใหม่อีกต่อไป ซึ่งหมายความว่า ถ้าไม่ใหม่หรือแหวกออกไปกว่าเก่าไปเลย ก็ต้องเล่าอย่างเดิม แล้วก็กลายเป็นอย่างหลัง ที่เลือกเล่าเรื่องแบบเดิม เพราะมันคือเสน่ห์ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเอกบุรุษ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังได้ผล เพราะยังคงอารมณ์ลุ้นระทึกไปกับความพยายามเงียบ แทบกลั้นหายใจไปกับภาพที่ปรากฎตรงหน้า ด้วยชั้นเชิงที่เคยเล่นเคยใช้ มี Jump Scare ให้ตกใจ ตุ้งแช่มาให้สะดุ้งบ้าง ที่แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าต้องมี แต่ก็เดาไม่ได้ว่า มันจะมาเมื่อไหร่ ตอนไหน ซึ่ง มันก็คืออารมณ์เดิม ชั้นเชิงเดิม ที่ยังคงใช้ได้ผล เพราะอารมณ์ผู้ชม ยึดติดไปกับความเงียบในหนังเสียแล้ว เพียงแต่ สิ่งที่ต้องแลกอย่างที่เกริ่นไว้คือ ลูกเล่นและชั้นเชิงเฉพาะตัวแบบนี้ มันเร้าใจจริง ตื่นเต้นจริง ตื่นตาจริง แต่มันไม่ตื่นใจแล้ว หนังจึงเหมือนเป็นการยำสูตรหนังแนวโลกล่มสลาย ที่ตัวละครต้องเอาชีวิตรอด จากเอเลี่ยน (ที่ไม่ต่างจากซอมบี้ใน The Walking Dead) การจำใจจำจากที่ที่เคยปลอดภัย ฝ่าอันตรายไปสู่ดินแดนสุขาวดี ที่ใครๆก็เล่นกันแบบนี้ มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา จึงเป็นที่มาของพฤติกรรมที่ไม่ว่าจะพินิจดูยังไง ก็ยังดูไม่ค่อยจะฉลาดในการตัดสินใจบ้าง ในบางลีลา ทำให้มีริ้วรอยประปรายระหว่างทาง และแน่นอน ที่น่ากลัวไม่น้อยไปกว่าเอเลี่ยนที่หูดีกว่าหมา ก็ยังคงเป็นสันดานมนุษย์ ที่เหมือนเป็นเครื่องปรุงในซองมาม่า ที่ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องมี ก่อนไปถึงบทสรุปที่ ก็ไม่ได้ยากต่อการคาดเดานั่นจึงหมายความว่า จากความสดใหม่ใสปิ๊ง กลายมาเป็นงานที่เดินตามสูตรเป๊ะๆของหนังสยองขวัญสั่นประสาท เพียงแต่ สิ่งที่ยังคงมี และทำหน้าที่ได้ดี ก็คือเรื่องของการรักษาอารมณ์คนดู ให้ยังคงเหมือนเป็นดูหนังเรื่องเดิม เพียงแต่เป็นชะตากรรมในเวลาต่อมา อีกอย่าง ที่ทำให้หนังพอมีอะไรจะเล่าบ้าง หรือว่า จอห์น คราซินสกี้ ยังอยากขึ้นจอ ก็คงจะเป็นการเล่าจุดเริ่มต้น ก่อนที่จะยิงยาวกับชะตากรรมหลังจากภาคที่แล้ว และด้วยเวลาฉายที่ไม่มากมาย ทำให้หนังดีพอที่จะตรึงผู้ชมได้ ไม่ให้ลุกไปไหน เพราะเวลาฉายจริงๆแค่ไม่ถึงเก้าสิบนาที หนังจึงเอาอารมณ์ผู้ชมอยู่ และเดินหน้าไปรวดเร็วไม่มีที่อืดอาด และแม้ว่า ภาคนี้จะเน้นความตึง ไม่มีภาพความสวยงามผ่อนคลาย แต่ก็ถือว่า ดูได้เร้าใจจนสุดทาง ด้วยการแสดงที่ผู้ชมเชื่อไปเรียบร้อย ของทีมนักแสดงเก่า ที่ยังคงไว้ลาย แสดงได้อย่างน่าดูชม รวมถึงหน้าใหม่ ที่ยังคงมีมาตรฐานส่วนตัวที่ดีพออย่าง ซิลเลี่ยน เมอร์ฟี่ ที่มีของพอที่จะเป็นจุดดี ทำให้ตัวละครที่มาตามสูตรของเขา ดูมีน้ำมีนวลมาได้ โดยรวมแล้ว นี่คือหนังสยองขวัญที่สามารถเห็นได้ทั่วไป ลูกเล่นต่างๆ ก็ล้วนแต่เคยผ่านตามา แล้วจับเอาอารมณ์ตามแบบที่เป็นเอกลักษณ์มาใส่ ที่แม้จะดูเหมือนคุ้นเคย แต่ก็ดูสนุกอยู่ดี ด้วยความที่ไทม์มิ่งมันได้ และไม่พยายามยาก หรือเล่นใหญ่ให้ยืดเยื้อ หนังเลยออกมาพอดี และอาจไม่ได้เลิศหรู หรือดูตื่นใจอย่างภาคแรก แต่ก็ไม่ใช่งานที่มาแบบลวกๆ เพื่อมาขายเพียงอย่างเดียว หนังยังคงมีความน่าสงสัยใคร่รู้ว่า ถึงที่สุด มนุษย์จะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร เพียงแค่ เสียดายที่ความเป็นสูตรของหนัง ทำให้เดาออกหมดแล้ว และด้วยอารมณ์ของหนังที่ต้องดูในโรงที่มืดและเงียบ จึงจะเต็มอารมณ์กว่าการดูที่บ้าน ที่มีปัจจัยรบกวนสมาธิมากมาย แต่ด้วยความจำเป็น จึงไม่ได้พิสูจน์ในโรงหนัง แต่แม้จะเป็นเช่นชั้น การดูที่บ้าน ก็ยังคงมอบความบันเทิงในแบบที่หนังเป็นได้ อย่างถึงที่สุดเท่าที่ควรจะทำได้แล้วA Quiet Place Part II : ดินแดนไร้เสียง 2 ทาง TrueID (แลก 329 True Point)ลุ้นระทึกแทบกลั้นหายใจโดย ดูไปบ่นไป#AQuietPlacePartII ขอบคุณภาพประกอบภาพปก จาก Facebook A Quiet Place ภาพที่ 1 จาก Facebook A Quiet Placeภาพที่ 2 จาก Facebook ดูไปบ่นไปภาพที่ 3 จาก Facebook A Quiet Placeภาพที่ 4 จาก Facebook A Quiet Placeจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !