Movie Full ReviewRurouni Kenshin: The Beginning รูโรนิ เคนชิน ซามูไรพเนจร: ปฐมบท (2021)เป็นได้ทั้งภาคต่อภาคต้นและส่วนขยาย ดีที่สุดเชิงมิติ อารมณ์ และความเป็นมนุษย์ให้เป็นน้ำหนักของเรื่องราวต่อมาสำหรับหนังชุดที่สร้างจากมังงะสุดโด่งดังเรื่องนี้ที่สามารถเดินทางมาไกลถึงสี่ภาคสามเรื่องเล่าและสารภาพว่าดูไปบ่นไปไม่เคยอ่านมังงะและไม่ได้เห็นลูกชายคนเล็กดูอนิเมะจึงไม่เคยอยู่ในสายตา กระนั้นก็มีท่านผู้อ่านแนะนำมาว่านี่คือหนังที่สร้างจากมังงะที่ดีมากจนการันตีว่าถ้าได้ดูสักภาคอาจยาวไปแน่นอนแล้วก็เป็นเช่นนั้น เพราะงานออกมาได้อย่างถึงฟอร์มการสร้างทั้งด้านฉากโปรดักชั่นคอสตูมการแสดงที่มีเสน่ห์และหัวใจของมังงะที่ยังสัมผัสได้ แต่ก็ยังคงมองเห็นความคล้ายคลึงกับรากฐานของหนังจีนกำลังภายใน ทั้งโครงเรื่องฉากต่อสู้ลูกเล่นบางอย่างซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา เมื่อหนังจากเอเชียตะวันออกมักจะมีรากที่ใกล้เคียงกันแต่คราวนี้ดูกลมกล่อมทั้งเรื่องของความมีเลือดเนื้อมีหัวใจและไม่ทิ้งความมันส์จนกลายเป็นว่าจบสี่ภาคภายในสองวัน จนมาถึงภาคต้นที่เล่าถึงความเป็นมาก่อนที่เคนชินจะจับดาบสลับคมที่เลือกเปลี่ยนแนวเล่าเรื่องให้หนังออกมามีหัวจิตหัวใจ และมีความชอบธรรมให้กับเรื่องราวต่อมาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่การเลือกที่จะเปลี่ยนแนวการเล่าก็มีราคาที่ต้องจ่ายเช่นกัน Rurouni Kenshin: TheBeginningเรื่องย่อก่อนที่สงครามจะอุบัติขึ้นครั้งมือพิฆาตบัตโตไซฮิมูระ เคนชิน (ทาเครุ ซาโตะ) ยังเป็นซามูไรที่มีสังกัดและทำหน้าที่มือสังหารของฝ่ายปฏิรูประบอบโชกุน และการเป็นมือสังหารก็ทำให้บัตโตไซสังหารคนไปทั่วแต่มีซามูไรต่ำศักดิ์คนหนึ่งที่แม้จะสู้จนตัวตายกลับฝากรอยแผลไว้ที่แก้มซ้ายของบัตโตไซ จนวันหนึ่งในที่พักสตรีนางหนึ่งที่ทำหน้าที่บริการและดูเหมือนนางจะมีใจบริการเคนชินเป็นพิเศษนางคือโทโมเอะ (คาสุมิ อาริมูระ) ระหว่างนั้นเคนชินก็ยังทำหน้าที่มือสังหารในยามค่ำคืนต่อไปแต่คราวนี้หัวใจเริ่มสัมผัสถึงอะไรบางอย่างเมื่อยามที่ล้างคราบเลือดที่เปื้อนมือก็มีคนที่ยื่นผ้าให้เช็ดคนคนนั้นก็คือโทโมเอะจนที่สุดเคนชินก็เปลี่ยนไป กระทั่งเมื่อฝ่ายฝักใฝ่โชกุนกวาดล้างฝ่ายปฏิรูปนำโดยไซโต ฮาจิเมะ (ยาสุเกะ เอกูชิ) ฝ่ายปฏิรูปจึงต้องล่าถอยไปตั้งหลักและการพรางตัวที่ดีที่สุดของเคนชินคือการแสร้งเป็นสามีภรรยากับโทโมเอะไปอยู่ที่กระท่อมน้อยปลายนานอกเกียวโตวางดาบมาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่ใครจะห้ามความรักได้เมื่อต่างฝ่ายต่างเห็นอะไรบางอย่างในหัวใจของกันและกันความรักจึงบังเกิดในความหนาวเหน็บแต่อบอุ่นเมื่อมีเพียงสองเรา แต่เคนชินก็หาทราบไม่ว่าแท้จริงแล้วโทโมเอะคือนางในดวงใจของซามูไรต่ำศักดิ์ผู้ฝากรอยแผลบนแก้มซ้ายของเขาและเข้าหาเขาด้วยความแค้นที่สังหารคู่หมั้นหมาย แต่ความแค้นก็ได้ถูกตัวตนที่แท้จริงของเคนชินที่โทโมเอะเห็นและได้สัมผัสสลายไปเหลือเพียงความรักและปณิธานในการวางดาบจากการเข่นฆ่า ทว่าเรื่องวุ่นวายและการแก่งแย่งมักไม่จบลงด้วยความสวยงามโทโมเอะจึงถูกทวงถามถึงภารกิจและเคนชินที่รู้ความจริงและหัวใจเต็มไปด้วยความรักจึงบุกไปช่วยนางอันเป็นที่รักพร้อมกับการสังหารศัตรูและพลั้งมือสังหารโทโมเอะไปด้วยหัวใจแหลกสลายพร้อมกับอีกหนึ่งแผลที่กลายเป็นรูปกากบาท สุดท้ายเมื่อปณิธานที่แรงกล้าในการวางดาบจากการเข่นฆ่าและดาบมีไว้เพื่อปกป้องได้ปะทุเคนชินตัดใจเผากระท่อมแห่งความรักไปพร้อมกับร่างของหญิงอันเป็นที่รัก และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งที่เป็นในเวลาต่อมาอันเป็นที่มาของซามูไรพเนจรทิ้งทุกอย่างในกองเพลิงหันหลังเดินจากมาปักดาบลงพสุธาด้วยปณิธานหยุดเข่นฆ่าเพื่อปกป้องหากโฟกัสไปที่ตัวเรื่องภาคนี้สามารถเป็นได้ทั้งงานภาคต้นภาคต่อหรือส่วนขยายของภาคสุดท้ายได้โดยสมบูรณ์ในทุกมิติ แต่การบ่งชัดว่านี่คือจุดเริ่มต้นทำให้ต้องปรับมุมมองและความคิดเพื่อไปหาจุดเชื่อมเรื่องจากที่เคยดูมาว่าจะมาบรรจบกันเช่นไร และแน่นอนมองเห็นความเนี้ยบในการเล่าเรื่องให้ออกมาให้มีจุดเปลี่ยนพาไปสู่จุดบรรจบของเรื่องราวได้แต่เนื้อหาก็ยังคลับคล้ายอธิบายเรื่องราวในภาคสุดท้ายแบบขยายความ แต่เมื่อเลือกที่จะเล่าเรื่องของความเปลี่ยนแปลงจากข้างในจึงต้องเล่าให้เป็นดราม่าอย่างไม่มีทางเลี่ยงเพราะภาคสุดท้ายก็บอกบ้างแล้วว่าจุดเปลี่ยนในชีวิตเคนชินคือความรักและความสูญเสีย และเรื่องก็เล่าได้ครบถ้วนในมุมของคนที่โหดเหี้ยมฆ่าคนไม่กระพริบตาชืดชาต่อโลกแล้วแปรมาเป็นมีปณิธานอันแรงกล้าที่จะใช้ดาบเพื่อปกป้องชีวิตมากกว่าการผลาญชีวิต ทว่าเมื่อเลือกเล่ามุมนี้ให้ครบถ้วนตั้งแต่ต้นจนมาถึงจุดตัดในหัวใจราคาที่ต้องจ่ายคือดีกรีความดุเดือดที่ถูกเรื่องดราม่าที่ดิ่งลึกและเต็มไปด้วยมิติดึงเวลาไปใช้ตรงนั้นมากกว่า ทำให้เรื่องที่แบกความคาดหวังไว้เรื่องนี้มีราคาต้องจ่ายแสนแพงเพราะอาจมีบ้างที่มองว่าหย่อนความดุเดือดลงทั้งที่เปิดตัวอย่างเร่งเร้ารุนแรง แต่ถ้าเอาจุดเริ่มต้นของภาคนี้ไปหลอมรวมกับตัวตนของเคนชินที่เห็นในสี่ภาคก่อนการเล่าแบบนี้คือสวยงาม เพราะแม้จะไม่มันส์สะใจเท่าแต่เข้าใจในความเป็นซามูไรพเนจรรู้ที่มาของการหันมาจับดาบสลับคมเพราะงานภาคนี้ก็ไม่ต่างจากตัวเคนชินที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อปณิธานของสตรีที่รักที่ว่า “เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง คนที่ถูกปกป้องต้องมีมากกว่าคนที่ถูกฆ่า” ด้วยการทิ้งความเร้าใจแล้วมาเล่าเรื่องภาวะข้างในใจและถูกใส่มาอย่างมีพัฒนาการที่มองเห็นสัมผัสได้ ทั้งยังค่อยๆปรับอารมณ์ให้มีส่วนร่วมอย่างแยบยลจนเมื่อฉากที่เคนชินเผากระท่อมพร้อมร่างโทโมเอะทิ้งทุกอย่างในกองเพลิงแล้วเดินจากมาเดินหน้าสู่ปณิธานอันแรงกล้าที่มาพร้อมกับเพลงธีมประจำเรื่องและจุดนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นจนอาจมีบ้างที่บางคนขนลุกน้ำตาคลอ จนถึงบทสรุปส่งท้ายที่เคนชินปักดาบลงพสุธาทิ้งทุกอย่างในฐานะมือสังหารก็คือการเชื่อมเรื่องราวที่ขนลุกอีกครั้งที่ยืนยันว่า อาจบางทีไม่ต้องดุเดือดตูมตามแต่ค่อยๆเกาะกุมหัวใจคนดูก็ได้ใจไม่ต่างกันสิ่งที่เรียกว่าความสุขคืออะไร... การได้ใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าคือคำตอบนั้นเพราะในชีวิตมนุษย์จะมีอะไรที่สามารถเป็นเชื้อไฟให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากข้างในได้มากไปกว่าความรัก เพราะความรักคือสายธารที่ไหลบ่าด้วยความเชี่ยวกรากความรักก็ยังเป็นสายธารที่ไหลเรื่อยเอื่อย แต่เมื่อความรักบังเกิดก็ยากที่จะต้านทานอำนาจของมันและความรักที่พัฒนามาจากความแค้นมักลึกซึ้งกว่าเสมอซึ่งโทโมเอะทราบเป็นอย่างดีเมื่อการพบกันระหว่างโทโมเอะกับเคนชินมีใช่ความบังเอิญแต่คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ แต่ตัวแปรที่ยากจะเข้าใจที่สุดของมนุษยชาติอาจเป็นหัวใจมนุษย์แม้ว่าการพบเจอกันด้วยความแค้นเป็นพลังขับเคลื่อนที่เป็นความเย็นยะเยียบของหัวใจ ทว่าการได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของกันและกันกลับคล้ายเป็นกองไฟที่อบอุ่นในค่ำคืนเหน็บหนาวจากจุดเริ่มต้นที่ว่า “ในละครโศกนาฏกรรม ฝนมักตกมาเป็นสีเลือด” ที่เป็นจุดสัมผัสกันของความแค้นและพลังที่แรงกล้าที่จะมีชีวิตของอดีตคนรัก มาจนถึงคำถามที่ว่า “ท่านแยกแยะคนที่จะฆ่าหรือไม่ฆ่าจากการถือดาบหรือ เช่นนั้นถ้าข้าถือดาบอยู่ในมือ ท่านจะฆ่าข้าหรือ?” ที่ทำให้น้ำแข็งในหัวใจของคนทั้งคู่เริ่มละลายสุดท้ายการได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายรอยยิ้มที่ยากจะปรากฏบนใบหน้าเคนชินที่ได้เห็นเมื่อยามที่เสพสุขกับการรับประทานข้าวอย่างที่ไม่เคยเป็น กระทั่งคำตอบของเคนชินที่มีต่อโทโมเอะที่ว่า “แม้ว่าในมือเจ้าจะถือดาบ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” ก็เท่ากับหัวใจของบัตโตไซได้เปลี่ยนไปแล้ว และการหล่อหลอมปณิธานของโทโมเอะและเคนชินก็กลายเป็นความรักที่เปลี่ยนชีวิตทั้งคู่ไปตลอดกาล จนเมื่อโทโมเอะจ้องมองกระจกดูหน้าตัวเองที่มีน้ำตานั่นหมายความว่าหัวใจของนางมอบให้กับชายที่แค้นสุดใจไปทั้งหมดกลายเป็นความรักครั้งที่สองที่มีความหมายมากกว่าเมื่อโทโมเอะสามารถสละชีวิตของตัวเองเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนปณิธาน เพราะหัวใจทั้งสองดวงได้ผูกกันไว้อย่างแนบแน่นแล้วจนเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมดที่เคนชินเดินเข้าสู่สงครามเพื่อสร้างยุคใหม่และสืบสานปณิธานในการปกป้องชีวิตด้วยดาบ เพราะบางทีชีวิตอาจไม่ต้องยุ่งยากการแสวงหาความสงบสุขในชีวิตที่เรียบง่ายอาจต้องเริ่มต้นที่จุดสิ้นสุดของความขัดแย้ง แต่ก่อนจะถึงจุดนั้นอาจต้องใช้คมดาบเป็นเครื่องมือสร้างสันติก่อนที่จะหวนกลับสู่วลีที่ว่า "กลิ่นดินช่างหอมเหลือเกิน"สมบูรณ์ที่สุดในการถ่ายทอดมิติของจุดเริ่มต้นของตัวละครเพราะเลือกเล่าเรื่องความรักที่เป็นตัวแปรเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงจากข้างในพลังทั้งหมดจึงอยู่กับการสื่อสารทางด้านการแสดงของนักแสดงสองคน นอกนั้นเป็นเหมือนชิ้นส่วนต่อเติมเพราะนอกจากตัวละครหลักสองคนแล้วทุกคนไม่มีส่วนอะไรกับอารมณ์ความรู้สึกหรือมีน้ำหนักที่ถ่วงมิติ ถ้าเปรียบเป็นรถคงเป็นชุดแต่งภายนอกที่ไม่ได้มีผลอะไรกับแรงม้าของเครื่องยนต์ดังนั้นจึงได้เห็นการปล่อยของเต็มที่ของนักแสดงหลักสองคนคือทาเครุ ซาโตะที่แปลกไปในบทเคนชินจากที่ได้เห็นและก็ทำได้ดีเมื่อความเป็นบัตโตไซที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากข้างในฆ่าคนได้แม้กระทั่งเมื่อสองมือถูกพันธนาการ ความเป็นมือสังหารผู้โดดเดี่ยวเฉยชาต่อโลกแต่สัตย์ซื่อในอุดมการณ์กระทั่งความเปลี่ยนแปลงเข้ามาในรูปแบบของหญิงสาวผู้มีความเย็นเยียบ จนกลายมาเป็นชายผู้มีความอบอุ่นสามารถเสพสุขกับสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดอย่างการกินข้าวเป็นอีกมิติที่ไม่ได้เห็นมาก่อนแต่น่าเชื่อถือสำหรับบทเคนชินที่เป็นตอนก่อนที่จะมาเป็นซามูไรพเนจรส่วนคาสุมิ อาริมูระยังคงมีเสน่ห์แม้ในยามที่เฉยชาต่อสิ่งรอบกายเช่นการนั่งคนเดียวนิ่งเงียบท่ามกลางความอึกทึก แววตาเศร้าๆของเธอยังสื่อสารออกมาได้ดีที่ยังต้องพาดพิงไปถึงความเปลี่ยนแปลงจากข้างในที่ยากแต่คาสุมิ อาริมูระยังดีพอที่จะไม่ต้องทำอะไรให้ยากไปกว่านี้ สีหน้าแววตาในการนั่งมองชายคนรักกินข้าวการนั่งเขียนบันทึกด้วยหัวใจการมองกระจกดูหน้าตัวเองพร้อมหยาดน้ำตาเมื่อรู้ว่าได้มอบหัวใจให้กับชายที่แค้นไปหมดสิ้น อาจเหมือนนิ่งๆไม่ต้องทำอะไรแต่ความจริงยากมากและส่วนที่ดีที่สุดที่ทำให้เรื่องทั้งหมดเป็นการบอกเล่าที่ครบถ้วนคือการแสดงที่เข้าคู่กันอย่างไร้ที่ติของคนทั้งสอง อาจไม่ใช่เรียกว่าแบกเรื่องแต่บทต้องการเล่ามิติทางนี้เลยกลายเป็นเรื่องของคนสองคนที่เข้ามาเปลี่ยนกันและกัน แล้วด้วยความที่มีความเป็นโรแมนติกดราม่าจากญี่ปุ่นจึงมองเห็นความเงียบนิ่งดนตรีคลอเบาๆปล่อยให้ภาพและการแสดงบอกความหมาย แต่เพราะหนังชุดนี้คือหนังแอ็คชั่นที่มีเพลงที่ลงตัวกับภาพที่สุดที่เป็นที่จดจำเมื่อเพลงมาทุกอารมณ์ที่เคยได้สัมผัสมาจากสี่ภาคก่อนหน้าก็พลั่งพรูออกมาเช่นเดียวกันสี่ภาคที่ผ่านมาได้มอบความบันเทิงที่มาพร้อมคุณภาพที่ถึงใจจนทำให้ภาคสุดท้ายที่เป็นปฐมบทต้องแบกความคาดหวังที่คงเลี่ยงไม่ได้เพราะคงไม่มีสิ่งใดที่จะอธิบายความเปลี่ยนแปลงจากข้างในหัวใจของมือสังหารที่เย็นชาได้แล้วนอกจากความรัก แต่เมื่อเลือกเล่าเรื่องความรักมาเป็นตัวแปรและเล่าเรื่องของคนสองคนความรักที่พัฒนามาจากความแค้นและการหลอกลวงน้ำหนักของเรื่องจึงต้องทิ้งลงไปที่ประเด็นดราม่าและต้องใช้เวลาไปเล่าตรงนั้น ซึ่งในฐานนะจุดเริ่มต้นตัดเรื่องของการขยายความจากภาคสุดท้ายออกไปนี่คือความสมบูรณ์แบบของการบอกถึงจุดเริ่มที่เป็นเหตุเป็นผลต่อเรื่องราวที่เล่ามาก่อนหน้าและการเชื่อมโยงเข้าหากันอย่างไร้รอยต่อ อาจมีบ้างที่เมื่อเล่าครบถ้วนในเชิงลึกของตัวละครสิ่งที่หายไปคือความเข้มข้นดุเดือดที่เป็นเอกลักษณ์ แม้จะทดแทนด้วยความรุนแรงเลือดสาดแขนขาดขาขาดแต่ก็อาจน้อยไปจากที่เคยมี เพราะกระทั่งไคลแม็กซ์สุดท้ายก็ยังเต็มไปด้วยความดาร์คดิ่งและดราม่า เมื่อรอยแผลกากบาทได้ถูกบอกเล่าที่มาอย่างสมบูรณ์อย่างที่บทต้องการทำให้การเล่าเรื่องในเวลาต่อมาที่มาก่อนมีน้ำหนักแต่ทั้งนี้อาจต้องวัดใจคนดูด้วยเช่นกันเมื่อคงไม่ต้องสาธยายมากว่าดีกรีความมันส์จากสี่ภาคก่อนหน้ามีมากขนาดไหน เมื่อกล้าปรับมาเล่าเป็นโรแมนติกดราม่าที่ตั้งใจขายน้ำหนักของตัวเองต่อไปที่เล่ามาก่อน คนดูที่ความคาดหวังจึงอาจมีบ้างที่ผิดหวังเล็กบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับความคาดหวังของแต่ละคน แต่สำหรับความเห็นส่วนตัวผู้เขียนแล้วถ้านับว่านี่คืองานที่เล่าเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นเหตุผลของเรื่องที่เคยผ่านตามาก็คือการเล่าเรื่องที่ครบถ้วนและเป็นงานระดับชั้นยอด แต่ถ้ามองในมุมของความเป็นหนังโรแมนติกดราม่าที่เล่าเรื่องของคนสองคนที่มีความรักมาเป็นความผูกพันกันจนถึงจิตวิญญาณก็ยังเป็นงานชั้นยอด เพราะด้วยบทที่ลงตัวในการเสนอเรื่องโรแมนติกที่สามารถเปลี่ยนแปลงมาจากความแค้นและการหลอกลวงได้อย่างไม่รู้จะหาจุดไหนมาติจากการดูสองรอบ การแสดงของคนสองคนก็เป็นตัวตนของเรื่องทั้งหมดจึงเป็นงานที่ดีที่สุดสำหรับผู้เขียนกับหนังชุดซามูไรพเนจร อาจจะไม่ดุเดือดเท่าแต่เข้าไปอยู่ในใจได้ด้วยเหตุผลของความมีหัวใจของจุดเริ่มต้นในครั้งนี้ดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 จาก Instagram ruroken_movie อ่านบทความผลงานของ "คาสุมิ อาริมูระ" โดย "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่https://entertainment.trueid.net/detail/akeWJ2Pmv0Y5https://entertainment.trueid.net/detail/O18oj0brLjXKhttps://entertainment.trueid.net/detail/4mKVjWRrRLQ7และอ่านบทความผลงานล่าสุดของ ทาเครุ ซาโตะ ได้ที่นี่https://entertainment.trueid.net/detail/w1NEd7ZXKQEv จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !