"The Flash" ล้มเหลวคาบ็อกซ์ออฟฟิศ เสี่ยงทำสตูดิโอหนังขาดทุนนับพันล้านเหรียญ!
ดูเหมือนว่าแผ่นดินย่านสตูดิโอหนังยักษ์ใหญ่ของฮอลลิวูด อย่าง วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ยังค่อนข้างอ่อนไหวและบอบบางอยู่ไม่น้อย หลังจากที่หนังเบอร์ใหญ่ของพวกเขาเรื่องล่าสุด "The Flash" ที่เป็นหนึ่งในความหวังในช่วงโปรแกรมหนังฤดูร้อนปีนี้ เปิดตัวได้ในบ้านและทำเงินทั่วโลกได้ต่ำกว่าที่คาดหวังเอาไว้ จึงทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ ยังสั่นคลอนอยู่ในตอนนี้
"The Flash" นับว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องที่ 2 จาก 4 เรื่องของดีซีที่พวกเขาจะปล่อยฉายในปี 2023 นี้ ก่อนหน้านี้คือ "Shazam! Fury of the Gods" ที่เปิดตัวไปเมื่อมีนาคมที่ผ่านมา และจะตามมาด้วย "Blue Beetle" ในเดือนสิงหาคมนี้ ก่อนปิดท้ายด้วย "Aquaman and the Lost Kingdom" ในเดือนธันวาคมนี้ ตามลำดับ แต่หลังจากปล่อยไป 2 เรื่องแล้วนั้น ผลลัพธ์ยังค่อนข้างน่าเป็นห่วงมาก
แน่นอนว่ากลุ่มหนังดีซีที่ทยอยออกฉายในช่วงนี้ ถือว่าเป็นมรดกที่ยังหลงเหลืออยู่โครงการหนังดีซีจากยุคก่อน ที่ปัจจุบันเหล่าผู้บริหารที่อนุมัติสร้างหนังเหล่านี้ได้โยกย้ายออกจากตำแหน่งกันหมดแล้ว และแทนที่โดยผู้บริหารชุดใหม่ นำโดย "เจมส์ กันน์" กับ "ปีเตอร์ ซาฟราน" ที่พวกเขาอยู่ระหว่างปลุกจักรวาลดีซียุคใหม่ ที่จะเริ่มต้นยุคใหม่ด้วย "Superman: Legacy" ที่กว่าเราจะได้เห็นก็น่าจะปี 2025 เลย
ดังนั้นเท่ากับว่าในปี 2023 จะเป็นปีที่ทิ้งทวนและปิดฉากตำนานดีซียุคก่อนลงอย่างเป็นทางการ เพราะในปี 2024 ดูเหมือนจะมีแค่เพียงหนังสแตนอโลนภาคต่อ "Joker: Folie à Deux" เป็นหนังจากดีซีเพียงเรื่องเดียวที่ถ่ายทำเสร็จพร้อมจะฉาย ก่อนจะนำไปสู่ยุคใหม่ และการทิ้งทายของยุคเก่าของดีซีนั้นก็อาจจะปิดฉากไปด้วยภาพที่ไม่ค่อยงดงามเท่าไหร่ เห็นได้จากผลลัพธ์ 2 เรื่องที่ผ่านมา
แหล่งข่าววงในระบุว่า ค่าใช้จ่ายงบประมาณการสร้างหนังและงบประชาสัมพันธ์หนังทั้ง 4 เรื่องของดีซีในปีนี้ สตูดิโอได้ลงทุนไปด้วยเม็ดเงินสูงเกือบ ๆ 1.2 ล้านเหรียญเลยทีเดียว และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าพวกเขามีโอกาสสูงที่จะสูญเสียรายได้นับพันล้านไปจากความล้มเหลวทางด้านรายได้ที่เกิดขึ้น Shazam! 2 ทำเงินเจ๊งบนบ็อกซ์ออฟฟิศ เพราะกวาดรายได้ทั่วโลกไปได้แค่เพียง 133 ล้านเหรียญ ขณะที่ The Flash ที่เพิ่งออกสตาร์ทไปเพียง 135 ล้านเหรียญ ที่เป็นตัวเลขที่น้อยกว่าที่สตูดิโอคาดหวังเอาไว้พอประมาณ
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมหนังท่านหนึ่งได้ให้ความคิดเห็นว่า "อันที่จริง The Flash ควรจะต้องทำเงินเปิดตัวในบ้านให้ได้ที่ 120 ล้านเหรียญขึ้นไป แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นแสดงให้เห็นว่ามันค่อนข้างเลวร้ายและหายนะกว่าที่คิดไปเยอะเลยทีเดียว"
The Flash ถือว่าเป็นโครงการหนังที่เผชิญหน้ากับปัญหาอยู่หลาย ๆ ครั้ง ไม่ใช่แค่เพียงหนังต้องล่าช้ากว่าแผนงาน เพราะถ่ายทำกันในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังมีดราม่าเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักแสดงนำที่ทำผิดซ้ำซาก อีกทั้งยังมีเป็นที่มีงบประมาณการสร้างที่บานปลาย และมีการปรับแก้-ถ่ายซ่อมเพิ่มเติมในฉากใหญ่ ๆ ด้วย
ประกอบกับเทรนด์หนังซูเปอร์ฮีโร่ คอนเซ็ปต์มัลติเวิร์สในยุคปัจจุบัน เริ่มค่อนข้างซบเซาในตลาดลงอย่างสัมผัสได้ เพราะไม่ใช่แค่หนังจากค่ายดีซี หนังจากคู่แข่งค่ายอื่น ๆ ก็เผชิญหน้ากับภาวะนี้ด้วยเช่นกัน แต่นักวิเคราะห์มองว่า หนังฮีโร่สแตนอโลนน่าจะยังไปได้อยู่ เห็นได้จากผลลัพธ์ของ "Joker" หรือ "The Batman" ซึ่งเป็นหนังที่ไม่ได้มีเนื้อหาข้องเกี่ยวกับจักรวาลใด ๆ แต่กลับทำรายได้ได้ดีกว่าหนังที่อยู่ในมัลติเวิร์ส และนี่อาจจะเป็นแนวทางที่สตูดิโอหนังจะหันมาจับทางเพิ่มขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม หนังในจักรวาลดีซีที่ผ่านมา มีแค่เพียง "Aquaman" เรื่องเดียวเท่านั้นที่ทำเงินทั่วโลกได้ทะลุหลักพันล้านเหรียญ (หากไม่ได้นับรวมกับ Joker) นับว่าเป็นปัญหาด้านกลยุทธ์ที่ผู้บริหารก็ยังแก้ไม่ตก และพวกเขาก็หวังว่าผู้บริหารชุดใหม่และแนวทางการรีบูตยกเครื่องค่ายใหญ่ในภายภาคหน้า อาจจะมากอบกู้สถานการณ์เหล่านี้ให้ผ่านไปได้
Source: Variety
-------------------------------------
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa