สถานการณ์ไวรัส โควิด19 ระบาดใหญ่ทั่วโลกในปี 2020 ประเทศไทยก็โดนผลกระทบกันไม่ใช่น้อย จนต้องมีการประกาศ เคอร์ฟิว หรือ มาตรการห้ามออกนอกเคหะสถานในเวลาที่ทางการกำหนด แน่นอนมันส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันของคนยุคนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีประกาศมาตรการต่าง ๆ หรือแนวโน้มที่จะมีการประกาศ เคอร์ฟิว ให้ได้เตรียมตัวกันมาแล้วก็ตาม หลายคนกังวล เด็กรุ่นใหม่ ๆ หลายคนไม่รู้ว่ามาตรการนี้เป็นอย่างไรเพราะไม่เคยเจอสำหรับเราแล้ว นี่เป็นอีกครั้งในชีวิตที่ต้องเจอกับมาตรการนี้ แม้ว่าครั้งนี้อาจจะดูยาวนานกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมาก็ตาม แต่ก็ดูจะไม่ลำบากอะไรมากนัก ต่างจากที่เคยผ่านมา ความทันสมัยต่าง ๆ ความสะดวกก็พมีพร้อม ระยะเวลาตามประกาศนั้นเริ่มเวลา 22.00 น.- 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้นก็ดูจะสบาย ๆ หากไม่ใช่สายเที่ยวเวลานี้ก็อยู่บ้านกันทั้งนั้น cr. unsplash ย้อนความจำ ชีวิต ติดเคอร์ฟิว ที่เคยผ่านมา หากไล่เรียงจากความทรงจำของเราก็คงต้องเริ่มจากวัยเด็กน้อยเลย ซึ่งช่วงเวลานั้นน่าจะประมาณปี พ.ศ 2524 จำได้ว่าทุกคนในบ้านคอยฟังวิทยุ ติดตามข่าวกันตลอด ซึ่งกำหนดเวลานั้นจำไม่ได้แล้วเพราะเด็กมาก จำได้แค่ว่าฟ้ามืดก็ปิดบ้านกันหมด ตอนนั้นพ่อก็กลับบ้านเร็วกว่าปรกติ เนื่องจากต้องกลับให้ทันเวลา นั่นเป็นเคอร์ฟิวครั้งแรกในชีวิต ครั้งต่อมาก็คือช่วง พฤษภาคม 2535 ซึ่งตอนนั้นเป็นวัยรุ่นแล้ว ก็จำบรรยากาศได้ว่ามันน่ากลัวพอสมควร เพราะมีเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ ตอนนั้นก็ห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล มีตำรวจสายตรวจขับรถเข้าออกตามซอยดูความเรียบร้อย ตอนนั้นที่บ้านเปิดร้านขายของก็ต้องปิดเร็วขึ้น เพราะถ้าจำไม่ผิดเวลาตามกำหนดคือช่วง สามทุ่ม ถึง ตีสี่ จะไปไหนก็ต้องรีบกลับช่วงเวลานั้นเลิกเรียนไปเตร็ดเตร่ที่ไหนก็ไม่ได้ ทำงานพาร์ทไทม์ก็เลิกไว ทุก ๆ สถานที่ปิดกันก่อนเวลา เพื่อให้พนักงานกลับบ้านกันทันเวลา cr. unsplash หลังจากครั้งนั้นก็มีเคอร์ฟิวกันอีกในปี 2553 เป็นเหตุการณ์การเมืองอีก แต่ครั้งนี้หลาย ๆ พื้นที่ค่อนข้างน่ากลัว รวมถึงแถวบ้านเราด้วย เพราะแม้ว่าจะมีเคอร์ฟิวหลังสามทุ่ม ถึง ตีสี่ ก็มีเหตุการณ์ป่วนเมืองอยู่ 1- 2 วันถ้าจำไม่ผิด ที่มีแก๊งค์รถมอเตอร์ไซด์ป่วนเมือง ไล่ตีทำลายร้านค้าริมถนน ซึ่งแถวบ้านก็มีโดนไปเหมือนกัน ก็ถือว่าเคอร์ฟิวครั้งนี้น่ากลัวอยู่พอสมควร ในปี 2557 ก็มีเคอร์ฟิวกันอีกแต่ดูจะชิลด์ ๆ กว่าเดิมเพราะไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรง และระยะเวลาก็ไม่นานนัก ช่วงเวลาเคอร์ฟิวตอนแรกก็เหมือนที่ผ่าน ๆ มาคือช่วงสามสี่ทุ่มจนถึงเช้ามืด แต่ภายหลังมาปรับเป็นตีหนึ่งถึงเช้ามืดแทน แถมมีความทันสมัยที่สมบูรณ์พร้อมมีอินเตอร์เน็ต มีโลกออนไลน์ให้ความบันเทิง การห้ามออกนอกบ้านตอนกลางคืนก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น cr. unsplash หากนับรวมประสบการณ์ ชีวิต ติดเคอร์ฟิว ก็ผ่านมา 4 ครั้ง ทุกครั้งเป็นเหตุการณ์การความไม่สงบต่าง ๆ ตามที่เรารู้กันดี แน่นอนว่ามันก็ลำบากกันตามยุคสมัย เพราะทุกอย่างถูกปิดยิ่งเป็นช่วงสมัยเด็ก อินเตอร์เน็ตยังม่มีทุกบ้านปิดไฟนอนอย่างเดียว เพราะหากจำไม่ผิดสถานีโทรทัศน์ วิทยุ ก็ต้องหยุดออกอากาศด้วย มีแค่ช่องข่าวทางการเท่านั้น แต่ในยุคหลัง ๆ ที่เจอเหตุการณ์นี้ก็ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นจริง ๆ ว่าเป็นแบบไหน มีอะไรเกิดขึ้นยิ่งมีความทันสมัย การติดมาตรการห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลก็ดูไม่เป็นปัญหานัก cr. unsplash เมื่อชีวิต ติดเคอร์ฟิว อีกครั้ง ในปี 2563 สำหรับครั้งนี้ระยะเวลา เคอร์ฟิว อาจจะยาวนานกว่าครั้งก่อน ๆ ที่เคยผ่านมาเพราะ เริ่มมาตรการเคอร์ฟิว 3 เมษายน 2563 แต่ยังไม่มีระยะเวลายุติการห้ามออกนอกเคหะสถานตามเวลาที่กำหนด และสถานการณ์ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ความไม่สงบ แต่เป็นสถานการณ์โรคระบาดที่น่ากลัวกว่า แม้ว่าจะไม่มีการป่วนเมือง ไม่มีความวุ่นวายใด ๆ มีแต่ความกังวลเข้ามาแทน เพราะหากเทียบกับครั้งก่อน ๆ เราพอจะคาดเดากันได้จะยุติมาตรการกันได้เมื่อไหร่ เหตุการณ์จะจบลงแบบไหน และทุก ๆ ครั้งมันก็ไม่ต่างกันcr. unsplash แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เหมือนที่ผ่านมานั่นเป็นเพราะ โรคระบาดโควิด19 เป็นต้นเหตุและไม่มีแนวโน้มที่การระบาดจะลดลง ส่วนหนึ่งคงมาจากมาตรการต่าง ๆ ที่ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก อีกส่วนก็คือประชาชนที่กลายเป็นพาหะแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว บางกรณีก็ปกปิดข้อมูล ผู้คนยังคงเดินทางพาเชื้อโรคไปตามที่ต่าง ๆ ก็คงจะโทษใครไม่ได้เพราะทุกคนอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ชะตากรรมเดียวกัน ก็ต้องร่วมมือกัน แม้ว่าดูจะไม่ลำบากเพราะยุคนี้มีอินเตอร์เน็ต มีความบันเทิงต่าง ๆ ให้ผ่อนคลาย ติดต่อสื่อสารกับใครก็สะดวก ก็แค่ปรับเวลาไม่ออกไปไหนตามเวลาที่กำหนดเท่านั้น อาหารการกิน ขนม ก็เตรียมกันให้พร้อมสำหรับสายกิน สายดูหนังฟังเพลงยิ่งสบาย เน็ตบ้านเน็ตมือถือมีพร้อมให้เล่น ก็ไม่ต้องวิตกกังวล ช่วงกลางวันก็เตรียมทุกอย่างไว้ กลางคืนก็สบาย ๆ cr. unsplash แม้ว่า การระบาดของไวรัส จะดูน่ากลัว แต่เราต้องอยู่กับสถานการณ์นี้กันพักใหญ่ ๆ อาจกินเวลาหลายเดือน เราต้องปรับตัวกันให้ชิน ไปไหนมาไหน ใส่หน้ากากอนามัย หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ความเป็นอยู่อื่น ๆ ก็คงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีเงินเพียงพอ หากโดนลดเงินเดือน หรือ โดนเลิกจ้าง เงินที่มีต้องใช้ให้คุ้มค่า ลดการพบปะผู้คนให้ได้มากที่สุดก็จะลดความเสี่ยงการรับเชื้อไวรัสได้ เรียกว่าไม่ติดเชื้อก็กักตัวเองอยู่กับบ้านดีที่สุด แต่หากใครต้องไปทำงานก็ต้องระวังตัวเอง อยู่ให้ห่างคนอื่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อตัวเองเพื่อส่วนรวม