Series Full Review: The Veil (2021): "เข้ม เล่นใหญ่ เร้าใจ พลิกผัน ครบทุกองค์ประกอบงานแอ็กชันทริลเลอร์ระดับเหนือธรรมดา"ก่อนที่โลกจะถูกรุกรานจากภัยร้ายไวรัสโควิดเมื่อสามปีก่อน เชื่อได้เลยว่าคงไม่มีใครที่เป็นคนดูหนังดูละครจะต้านทานความแรงของละครเกาหลีอย่าง Vagabond (2019) ที่ติดงอมแงมกันทั่วบ้านทั่วเมืองได้ ถึงขนาดที่คนที่ไม่เคยดูละครเกาหลีบางคนยังต้องดูด้วยความที่เป็นงานที่เล่นใหญ่ หรือเรียกแบบเท่ๆว่าเป็นงานฟอร์มยักษ์ ทั้งที่ความจริงหากดูละครเกาหลีมาบ่อยๆก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่กับเรื่องที่เล่า ที่ว่าด้วยเรื่องของคนธรรมดาที่ดันไปพัวพันกับเรื่องใหญ่เกินตัว แล้วต้องต่อสู้เพื่อเปิดโปงความฉ้อฉลและเงื่อนงำที่น่าสะพรึง แต่ด้วยความที่เสนอตัวเป็นงานแอ็กชันทริลเลอร์ที่ถึงฟอร์มดีกรีความดุเดือดระดับหนังใหญ่บางเรื่องยังอายกับชั้นเชิงแบบเกาหลีที่ไม่ถึงวินาทีสุดท้ายก็ยังยากจะคาดเดางานอย่าง Vagabond จึงขึ้นแท่นเป็นตำนานและหลังจากนั้นงานที่ไปถึงระดับนั้นในเรื่องของสเกลของการสร้างไม่มีมาให้ยลโฉมอีก แต่อย่างที่ดูไปบ่นไปเคยบ่นไว้คือเกาหลีจะมีดีที่การเอาของเก่ามาเล่าใหม่ให้ดูไม่เหมือนเป็นของเก่านั่นคือ เล่าเรื่องเก่าให้รู้สึกมีความใหม่ซึ่งความจริงมันยากแต่เกาหลีก็ทำให้เห็นบ่อยครั้ง จนมาถึงงานละครที่ฟอร์มการสร้างใกล้เคียงกับระดับ Vagabond อีกครั้งและเช่นเคยที่ไม่ใช่ของใหม่ ซ้ำยังเหมือนเอาของเก่าที่เคยขายได้มายำเข้าด้วยกัน แล้วใส่ความเป็นเกาหลีเข้าไปในชั้นเชิง แต่มันดันได้ผลเพราะอะไรก็ตามที่พึงมีในงานสืบสวนชั้นยอด ก็เก็บมาหมดแล้วใส่ความระเบิดเถิดเทิงเข้าไปเล่นใหญ่กว่าปกติ ทำให้งานละครเรื่องนี้คืองานที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงที่คนดู ที่คิดจะมาดูแบบสบายๆควรหลบไปก่อน เพราะความซับซ้อนพลิกผันค่อนข้างกินพลังงานสมอง แต่กลับมีความมันส์สะใจทำให้กลายเป็นงานที่ทั้งถึงฟอร์มถึงใจที่ทั้งเวียนกบาลและทั้งสนุกไปด้วยกัน The Veilเรื่องย่อที่กลางทะเลในเรือน้อยลำหนึ่งของขบวนการค้าอวัยวะมนุษย์ แต่สิ่งที่เดนมนุษย์เหล่านั้นไม่คาดคิดคือหนึ่งในเหยื่อที่พวกมันจับมาลงเรือมีชายคนหนึ่งนั่งตัวสั่นเทาด้วยความกลัว แต่เมื่อถึงนาทีชีวิตของเด็กน้อยที่น่าสงสารชายคนนั้นก็อดไม่ได้ที่ต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วก็ตัดมายังสำนักงานข่าวกรองเกาหลีที่ได้ข่าวการจับกุมเรือของขบวนการค้าอวัยวะนั้น ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชายฝั่งขึ้นเรือไปเจอกับความสยองเมื่อพวกเดนมนุษย์เหล่านั้นกำลังถูกลงทัณฑ์โดยพระเยซูด้วยความโหดร้ายเลือดนอง และชายที่รูปลักษณ์เหมือนพระเยซูคนนั้นก็คือฮันจีฮยอก (นัมกุงมิน) สายลับระดับสุดยอดของหน่วยข่าวกรองที่ไปแฝงตัวทำภารกิจในจีน แล้วฮันจีฮยอกก็สาปสูญไปจนมาปรากฏกายบนเรือนั้นกระทั่งหน่วยข่าวกรองได้ตัวเขามาก็พบว่าฮันจีฮยอกสูญเสียความทรงจำ เขาจำเหตุการณ์ที่ไปแฝงตัวทำภารกิจไม่ได้แต่ก็มีภาพลางๆมาปรากฏให้รบกวนหัวใจกระทั่งเมื่อสภาพร่างกายพร้อม ผอ.ฝ่ายต่างประเทศของหน่วยข่าวกรองโดจินซุก (จางยองนัม) ก็บรรจุฮันจีฮยอกเข้ามาทำงานด้วยความหวังที่จะรู้ความจริงในช่วงที่ฮันจีฮยอก หายไปเมื่อความทรงจำเขากลับคืนมาโดยให้ไปอยู่ฝ่ายสนับสนุนภารกิจภาคสนาม และมีคู่หูที่ไม่เคยลงทำงานสนามเลยคือเจ้าหน้าที่ยูเจอี (คิมจีอึน) และก็ไม่น่าจะมีอะไรถ้าฮันจีฮยอกไม่ติดกับการตายของลูกทีมเมื่อตอนที่พวกเขาแฝงตัวอยู่ในจีนเพื่อจัดการกับแก๊งค้ายาที่ส่งยาเข้ามาในเกาหลี การจัดการแบบถึงเลือดถึงเนื้อทำให้เบาะแสแรกคือการแก้แค้นของพวกค้ายาที่คราวนี้มันตามล่าฮันจีฮยอกมาถึงเกาหลี แต่ทว่าแสงไฟจากตึงตรงข้ามก็พาเรื่องซับซ้อนเข้ามาทับซ้อนกับเรื่องพวกค้ายาเมื่อมีเรื่องของการหักหลังกันในหน่วยข่าวกรองทำให้รายชื่อสายลับหลุดออกไปและถูกตามเก็บ กระทั่งเบาะแสบางอย่างชี้มายังเจ้าหน้าที่ซอซูยอน (พัคฮาซอน) ที่มีอดีตบางอย่างกับฮันจีฮยอกความลงตัวของแนวจารชนคนอันตรายที่ใส่ความซับซ้อนในแบบที่เกาหลีถนัดทันทีที่ดูความรู้สึกตอนต้นจะอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงตัวละคร "เจสัน บอร์น" จาก The Bourne Identity (2002) ที่ว่าด้วยเรื่องของสายลับมือฉมังผู้สูญเสียความทรงจำแล้วต้องตามสืบหาที่มาของตนเองจนต้องกลายมาเป็นศัตรูกับองค์กรต้นสังกัด จนเมื่อปมประเด็นเริ่มเผยออกมาก็มีภาพของหนังเกาหลีเองอย่าง The Berlin File (2013) ด้วยเรื่องของสายลับและการถูกทรยศหักหลังจากองค์กรต้นสังกัดทำให้ต้องเคลียร์ชื่อตัวเองไปพร้อมๆกับการเปิดเผยความจริง จนสุดท้ายก็มองเห็นเงาของหนังอย่าง The Rock (1996) ที่ว่ากันที่ทางแยกของหัวใจของคนที่ถูกทอดทิ้งที่ถูกป้ายอาจมโดยหน่วยงานที่เขารับใช้ ซึ่งยังไม่นับกลิ่นจางๆของงานแนวนี้ที่มีตามรายทางเรื่อยมาซึ่งรวมไปถึงฉากแอ็กชันที่เน้นความดุเดือดสมจริงขายความมันส์ระเบิดที่ใส่มาหมดทั้งการต่อสู้ระยะประชิดการสาดกระสุนใส่กับเป็นตับและการขับรถไล่ล่าและสิ่งเหล่านี้คือของมันต้องมีในงานแนวนี้แล้วถ้าว่ากันที่ส่วนนี้ที่เป็นส่วนที่ตั้งใจมาขายความเร้าใจในด้านความมันส์ก็ถือว่าลงตัว การร้อยเรียงถูกที่ถูกเวลาเปลี่ยนผ่านแทบไร้รอยต่อจนถ้าไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็นทำให้นี่คืองานที่เป็นหนังจารชนชั้นเยี่ยมได้ ที่มีทั้งหน้าฉากของความสนุกและมีความกลมกล่อมในเรื่องของวิธีการเล่าแต่เมื่อนี่คืองานระดับฉายทางโทรทัศน์จะให้อยู่ในระดับหนังฉายโรงก็คงเป็นไปไม่ได้จึงได้เห็นริ้วรอยประปรายทั้งเล็กทั้งใหญ่ในงานโปรดัคชั่น เช่นรถที่ตัวละครขับที่ชนกันแหลกกระจายแต่พอถัดมารถอยู่ในสภาพเดิมกับอีกส่วนคือเรื่องของการเล่าเรื่องด้วยชั้นเชิงที่เป็นเอกลักษณ์เกาหลีต้องซับซ้อนเข้าไว้ บทตั้งธงไว้ที่การถูกหักหลังและการหาหนอนในองค์กรแล้วค่อยๆปล่อยชิ้นส่วนเล็กบ้างใหญ่บ้างระหว่างทางที่ทำได้ดีมากคือการซ่อนปมรวมไปถึงมีเจตนาใส่ความสงสัยในสมองคนดูเป็นปฐมด้วยการเล่าเรื่องปัจจุบันที่อยู่ในภาวะลางเลือนแล้วค่อยๆปล่อยชิ้นส่วนความทรงจำออกมาตามจังหวะที่พอเหมาะ ทำให้ในความสงสัยมีอารมณ์ไว้ใจใครไม่ได้สักคนแม้กระทั่งพระเอกทำให้บทส่วนนี้แน่นหนาชั้นเชิงที่ปล่อยออกมาทำให้ความสงสัยพาความอยากรู้ที่สุดเร้าใจ และแน่นอนการเร้นแง่มุมเล็กน้อยไปถึงใหญ่มิดชิดแถมด้วยบทที่ท้าทายสมองให้คาดเดาแต่ก็พร้อมที่จะพลิกได้ตลอดเวลา ทว่าส่วนของงานด้านนี้ก็ยังมีแผลคือเมื่อบางชิ้นส่วนมันเล็กสมองคนดูจึงเก็บได้ไม่หมดทำให้การเชื่อมต่อกันระหว่างจุดเริ่มต้นไปจนถึงบทสรุปมีช่องโหว่ของบางตัวละครที่บางคนอยู่ดีๆก็หายไปแล้วโผล่มาบางคนก็หายไปแบบไม่มีบทสรุป ตามมาด้วยเมื่อถึงท้ายที่สุดเมื่อเลือกที่จะสร้างทางแยกให้หัวใจก็ทำให้เรื่องที่พยายามเล่นใหญ่ระดับที่ท้าทายไม่ลงเอยแบบต้องอึ้งเท่าที่ควรแต่ก็ไม่เสียหายเพราะยังลงตัวเพียงแต่ที่ผ่านมาคนดูหวังมากกว่านั้นและยังเล่าได้พลังแรงปานนั้น ซึ่งส่วนดีที่สุดของเรื่องนี้คือสองส่วนนี้ผสมกันแบบกลมกลืนทำให้ระหว่างทางไม่ต้องเล่นเรื่องย่อยมาประกอบแต่ตั้งหน้าเล่าให้เดินทางไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้แต่แรกแต่ใส่ความมันส์มาแทน ทำให้ในทุกตอนจะมีฉากที่ขายความเร้าใจให้อะดรีนาลีนหลั่งรวมถึงชั้นเชิงง่ายๆแต่ยังได้ผลนั่นคือการเลือกปล่อยชิ้นส่วนสำคัญมาตอนปิดท้ายทำให้ความน่าติดตามอยู่ในระดับสูง ประกอบกับงานด้านภาพที่เน้นสีขาวกับดำเหมือนสื่อความในบางอย่าง และภาพความรุนแรงที่จัดเต็มจนทำให้ดูแปลกไปจากงานที่ฉายทางโทรทัศน์ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ทำให้เรื่องเดินหน้าไปอย่างเมามันสนุกเร้าใจตั้งแต่ต้นจนจบแม้ว่าอาจมีบ้างที่ต้องกดปุ่มย้อนกลับไปอ่านซับหรือดูอีกครั้งเพราะเผลอนิดเดียวหลุดได้เลยการทุ่มทั้งกายในในการรับบททำให้การแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ถ่ายทอดออกมาได้อย่างถึงใจหากจะว่ากันถึงการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์จนคล้ายจะเป็นตัวเองของนักแสดงเหมือนกับเล่นเรื่องไหนก็ยังคงมีบุคลิกและแนวทางการแสดงที่เดิมๆ แต่แปลกตรงที่เมื่อไปรับบทที่แตกต่างความที่ดูเหมือนเดิมกลับกลมกลืนไปกับบทได้อย่างน่าทึ่งแถมยังมอบมิติที่พึงมีในบทนั้นๆได้อยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งคนที่สามารถนำมิติตัวละครมาเป็นตัวเองไม่ใช่เอาตัวเองไปเป็นตัวละครแบบนั้นได้คือนัมกุงมิน ที่การแสดงของเขาก็จะทำสีหน้าแบบนี้บุคลิกแบบนี้ทำตาโตแบบนี้แต่สามารถทำให้บุคลิกในแบบของเขากลายมาเป็นบุคลิกของตัวละครได้อย่างเหลือเชื่อ ยิ่งกับเรื่องนี้นัมกุงมินคือทุกสิ่งทุกอย่างของเรื่องเพราะโฟกัสหลักอยู่ที่บทฮันจีฮยอกที่มิติทางตัวละครลึกและหลากหลาย แต่นัมกุงมินก็ยังคงเป็นนัมกุงมินที่จัดการมิติเหล่านั้นได้และสามารถยกระดับเรื่องที่ดูดีในระดับที่น่าพอใจอยู่แล้วให้มีความน่าเชื่อถือขึ้นด้วยการอัพหุ่นให้กลายเป็นสายลับที่ต้องสมบุกสมบันทำให้ตัวละครมีความน่าเชื่อถือ ทั้งยังไม่ต้องเอ่ยถึงซีนอารมณ์หรือการเชือดเฉือนกับเหล่าผู้ร้ายผู้ดีด้วยบทสนทนาที่ต้องอาศัยการแสดงผ่านสีหน้าแววตา เรื่องแบบนี้นัมกุงมินแสดงให้เห็นเสมอว่าเขาเอาอยู่เพียงแต่บทยังดีพอที่จะไม่ให้เขาเป็นเดอะแบกด้วยความที่ตัวละครต้องน่าสงสัยทุกคนไม่ว่าพระเอกนางเอกใครที่เป็นผู้ร้ายตัวจริง นักแสดงอย่างคิมจีอึนกลับทำได้ดีที่เล่นโดยไม่ถูกนัมกุงมินกลบฝังทำให้น่าสนใจว่าคือนี่คือบทนำบทแรกของเธอแต่เธอยังมีความเด่น มองเห็นมิติตัวละครที่เป็นมิติของตนเองไม่ใช่จากบทของนัมกุงมินส่ง ซึ่งเมื่อดูเครดิตงานของเธอไม่น่าเชื่อว่าเธอเคยร่วมงานกับนัมกุงมินมาแล้วจาก Doctor Prisoner (2019) แต่ก็เป็นบทสมทบที่ไม่โดดเด่นอะไร พอโผล่มาเรื่องนี้กลายเป็นตัวสนับสนุนชั้นดีที่มีเวลาทองของตัวเองได้กับอีกคนที่เป็นคนวางมิติความน่าสงสัยให้กับหัวใจคนดูและตัวเองที่เป็นการรับหน้าที่ได้อย่างน่าหมั่นไส้ไปจนน่าเห็นใจของพัคฮาซอน ด้วยมิติตัวละครที่มีพื้นฐานที่น่าสนใจเป็นปัจจัยตัวแปรที่ถ้าขยายความอีกสักนิดจะกลายเป็นตัวละครที่มีพลังมาก (จนมีภาคขยายออกมาอีกสองตอนกับ Moebius Project 2012: The Veil) แต่เท่าที่เป็นก็มอบมิติทางอารมณ์ให้คนดูได้เต็มที่แล้ว ซึ่งหากจะว่าไปนักแสดงทั้งหมดในเรื่องก็รับหน้าที่กันได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งบทเล็กใหญ่เพราะเรื่องแบบนี้คือเรื่องที่ต้องปิดซ่อนความเป็นตัวตนของตัวละคร ถ้านักแสดงเล่นไม่ได้คนดูดูออกก่อนแล้วแน่นอน และตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมายที่บทแน่นแต่การแสดงรั่วทำให้กลายเป็นเสียความเร้าใจไปแต่กับเรื่องนี้นี่คือการแสดงที่ทำให้เรื่องมีความลับที่น่าค้นหาตามที่ต้องการได้อย่างไร้ที่ติแม้จะเป็นงานที่ดูแล้วมันส์แต่ก็ใช่ว่ากะจะมาดูเอามันส์ได้ เพราะชิ้นส่วนของเรื่องมากมายชนิดที่ใครจำชื่อตัวละครได้หมดก็ต้องคารวะ เพราะอย่างผู้เขียนเองยังเลือกที่จะไม่จำแต่เลือกปะติดปะต่อภาพรวมเพราะมันหนักสมองจนเป็นงานละครที่ไม่ควรวางโทรศัพท์ไว้ใกล้ๆเวลาดู หรือเรียกง่ายๆว่าต้องมีสมาธิเพราะหากเผลอหลุดนิดเดียวก็คือหลุดจนต้องย้อนกลับมาดูใหม่จึงควรวางรีโมทไว้ใกล้มือ แต่แม้จะดูเหมือนระทมกบาลกลับผูกมัดร้อยเรียงได้อย่างเป็นขั้นตอนไม่ได้ถึงกับซับซ้อนจนหมดความอดทนก็คือถ้าตั้งใจดูก็สนุกถึงใจ เพราะในความซับซ้อนพลิกผันก็มีฉากแอ็กชันใหญ่ๆที่จัดกันหนักๆใส่กันเต็มเหนี่ยวมาให้สะใจกันทุกตอน จัดเป็นงานที่ดูสนุกมีความน่าติดตามสูงแต่มันคือความสนุกที่ต้องแลก เมื่อนี่คืองานที่ดูแล้วต้องคิดตามตลอดและด้วยโทนเรื่องงานด้านภาพชวนให้อึดอัดตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีช่วงให้ผ่อนคลายหรือไม่มีอะไรดึงให้หย่อนลงขมึงตึงตั้งแต่ตอนแรกไปจนถึงตอนสุดท้าย ซึ่งถ้าชอบอะไรประมาณนี้ถึงใจแน่นอนเพราะเหมือนการดูหนังแอ็กชันทริลเลอร์เรื่องยาวที่มีทั้งความสะใจกดอารมณ์ได้ตลอดทาง แต่ความบันเทิงแบบนี้อาจไม่เหมาะกับคนทุกคนเมื่องานด้านภาพและความรุนแรงก็ออกมาเกินหน้าเกินตาไปมากภาพบางภาพก็ไม่ตางจากภาพข่าวอาชญากรรม แต่ถ้าว่ากันที่ภาพรวมนี่ก็คืองานชั้นดีที่ถึงฟอร์มใกล้เคียงคำว่างานชั้นยอดด้วยความที่ไม่มัวมาเสียเวลาเล่นเรื่องเบี้ยบ้ายรายทางชัดเจนที่จะไปทางนั้นแล้วเดินหน้าไป และแม้จะมีรอยนู่นนิดนี่หน่อยแต่ด้วยความที่ไม่อืดเอื่อยเลยทำให้ถูกความมันส์สะใจกลบไว้และเมื่อสมองคนดูต้องคิดตามตลอดก็ไม่มีเวลามาสนใจ และนี่คือคืองานที่มาพร้อมความบันเทิงที่อาจไม่แน่นเป๊ะไปจนถึงอะตอมแต่ถ้าชอบแนวนี้ก็ต้องดูสถานเดียวดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก program.imbc.comหมายเหตุ ผู้เขียน "ดูไปบ่นไป" คือบุคคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไป อ่านบทความผลงานของ "นัมกุงมิน" โดย "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่รีวิวจัดเต็ม Doctor Prisoner : หมอในเรือนจำ (2019) "การจะปราบปีศาจ อาจต้องขายวิญญานให้ปีศาจที่ร้ายกว่า"รีวิวจัดเต็ม Hot Stove League : ผู้จัดการเหล็กทีมดรีมส์ (2019) "เข้มข้นเหลือกำลังลากในซีรีส์กีฬาที่ไม่ใช่แค่การแข่งขัน"รีวิวจัดเต็ม Awaken: ตื่น ตระหนัก ล่า (2020) ยำใหญ่ใส่สารพัด ดูสนุก เข้มข้น แต่ยังเป็นงานดีที่หาได้ทั่วไป ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้รีวิวจัดเต็ม Deliver Us From Evil : ให้มันจบที่นรก (2020) "ง่าย ซ้ำ แสบ แต่มันส์จนลืมเวลา"ความเห็นหลังชม Yaksha: Ruthless Operations ปฏิบัติการยักษ์ล้มยักษ์ (2022) "หนังที่ความมันส์เอา(คนดู)อยู่ และไม่ได้มาเพื่อฆ่าเวลา"เกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !