Short CommentAnt-Man and the Wasp: Quantumania แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์: ตะลุยมิติควอนตัม (2023)ทำได้ดีในการเชื่อมโยงจักรวาลแต่ติดหล่มสูตรทำให้แม้จะยังสนุกได้แต่ก็ธรรมดาไปออกตัวเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่ทราบว่าดูไปบ่นไปไม่ใช่สาวก MARVEL Studio แต่ที่ดูทุกเรื่องตั้งแต่แรกเพราะคนรักหนังตัวเล็กที่เหมือนเขาได้โตมากับหนังซุปเปอร์ฮีโร่จาก MARVEL อีกประการหนึ่งคือหนัง MARVEL จะมีฟอร์มการสร้างและความสนุกอยู่ในระดับที่ไม่มีเสียดายเวลาขับรถไปกลับว่าสามร้อยกิโลเพื่อไปจ่ายเงินเข้าดูหนังที่รวมค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งเป็นพันขึ้น แล้วเมื่อได้ดูแล้วก็เหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องดูเรื่องต่อไปอยู่เรื่อยๆเพราะความที่สตูดิโอ MARVEL ฉลาดในการผูกเรื่องให้ต่อเนื่องกันเป็นจักรวาลเป็นเรื่องเล่าที่ยาวนานยิ่งกว่ามหากาพย์ กระนั้นหนังซุปเปอร์ฮีโร่จะมีข้อจำกัดอยู่อย่างคือเรื่องราวมักจะเป็นไปตามสูตรสำเร็จตายตัวมีฮีโร่ก็ต้องมีตัวร้ายแล้วก็มีการฉีกออกไปบ้างก็ยังสนุกแต่สนุกน้อยสนุกมากก็ค่อยมาว่ากัน หนัง MARVEL จึงไม่ต่างจากความบันเทิงที่ตอบโจทย์ทั้งครอบครัวเพราะดูสนุกได้ทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆที่ได้เห็นซุปเปอร์ฮีโร่โลดแล่นบนจออย่างสมจริง ทว่าอะไรก็ตามที่เดินทางมายาวนานเกินไปมักจะมีปัญหาที่จุดอิ่มตัวเมื่อเวลานี้หนังเรื่องหลังๆไม่ได้สร้างความตราตรึงใจได้เหมือนเดิมแล้วหลังจากกลายเป็นฮีโร่พิทักษ์โลก Scott Lang (Paul Rudd) หรือ Ant-Man ก็กลายเป็นคนดังเสียทีขนาดได้กินกาแฟฟรีที่เจ้าของร้านเรียกว่า Spider-Man และออกหนังสือขายดี ทางด้าน Hope Van Dyne (Evangeline Lilly) หรือ The Wasp ที่ได้ใช้อนุภาค Pym เปลี่ยนโลกและช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ในขณะที่ Cassie Lang (Kathryn Newton) ยัยถั่วต้มลูกสาวของ Scott ก็มีความคิดช่วยเหลือคนยากไร้จนบางครั้งต้องเข้าซังเตบ้าง วันหนึ่งหลังจากที่ฉลองวันเกิดของ Cassie เธอได้เปิดเผยว่าเธอได้ประดิษฐ์อุปกรณ์สำรวจมิติควอนตัมโดยการส่งสัญญาณไปยังมิติควอนตัม แล้วก็เกิดการถูกดูดไปสู่มิติควอนตัมทั้งหมดรวมทั้ง Dr. Hank Pym (Michael Douglas) และ Janet Van Dyne (Michelle Pfeiffer) จนในที่สุดความจริงก็ปรากฎว่าในมิติควอนตัมที่คนทั้งห้าถูกดูดลงไปนั้นมีประชากรอาศัยอยู่และถูกกดขี่จาก Kang The Conqueror (Jonathan Majors) ผู้แข็งแกร่งและ Janet คือคนที่มีส่วนในการทำให้โลกของมิติคอนตัวถูกรุกราน Ant-Man และ The Wasp จึงต้องเอาตัวรอดและปราบ Kang เพื่อคืนสันติให้มิติควอนตัมแต่คงไม่ง่ายแน่นอนไม่พยายามยืดเยื้อทำให้หนังยังมีความสนุกได้ตามแนว สิ่งหนึ่งที่เป็นในหนัง MARVEL เรื่องหลังๆคือการพยายามเชื่อมให้ได้ต่อให้ติดกับจักรวาลเดิมที่คนดูเทให้ทั้งใจจนหลายครั้งทำให้หนังออกมายาวเกินไปในบางเรื่องเพราะการพยายามเล่าและพยายามมีชั้นมีเชิง แต่อย่างที่บอกคือหนังซุปเปอร์ฮีโร่จะบิดกระบวนไปได้สักแค่ไหนหรือจะมีทางให้ไปได้สักกี่ทางสุดท้ายก็ต้องมาตามทางเดิมจนคนดูเกิดอาการล้า แต่กับการเปิดเฟสห้าของจักรวาลครั้งนี้และเป็นภาคสามของหนังมนุษย์มดมหากาฬบทหนังเลือกที่ไม่พยายามซับซ้อนหรืออุดมไปด้วยชั้นเชิงให้หวือหวา กลับกันคือมีการเล่าเรื่องที่ตรงไปตรงมาไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาสปอยล์เพราะหนังเริ่มต้นจากนับหนึ่งไปถึงร้อยแบบง่ายๆไม่ต้องตั้งท่ามาหักมุมหรือจงใจให้คนดูเหวอ ซึ่งข้อดีคือหนังเดินหน้าเร็วเมื่อถึงเวลาก็คือความสนุกตามแนวหนังซุปเปอร์ฮีโร่จัดมาเรื่อยๆและเดินหน้าไปแบบไม่มีหยุดพัก คนดูจึงดูสนุกได้ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนสุดท้ายที่เป็นความบันเทิงสำเร็จรูปที่มาพร้อมกับการเชื่อมโยงเข้ากับจักรวาลได้ดีจนอดคิดไม่ได้ว่าบางทีไม่ต้องยืดยาดไม่ต้องท่ามากก็เชื่อมกันติดได้นี่นา ติดหล่มความเป็นสูตรสำเร็จทำให้เหมือนไม่มีอะไรใหม่จนกลายเป็นตื่นตาแต่ไม่ตื่นใจ สิ่งที่เป็นเสน่ห์เสมอมาของหนังมนุษย์มดมหากาฬคืออารมณ์ขันเจ็บๆคันๆที่มาจากตัว Scott Lang ซึ่งภาคนี้ก็ยังมีให้ได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และเหมือนเป็นจุดขายที่ยังได้ใจอยู่หนึ่งจุด กระนั้นด้วยการเล่าเรื่องที่ตรงไปตรงมาอย่างที่บอกที่มาพร้อมกับสูตรสำเร็จของหนัง MARVEL ที่มีข้อจำกัดอีกอย่างคือวางเป้าหมายไว้ไกลแล้ว หนังจึงเป็นหนังในแบบ MARVEL เต็มประดาที่มีฮีโร่มีผู้ร้ายตัวพ่อที่ยากจะจัดการที่สามารถทำลายได้ทั้งจักรวาลมาให้ต่อกรด้วย สุดท้ายฝ่ายฮีโร่ก็จะจัดการได้แบบสะบักสะบอมไปก่อนและมันเป็นแบบนี้เสมอซึ่งในหนังบางเรื่องที่สามารถใส่หัวใจลงไปในสถานการณ์ที่เล่าได้ก็จะกลายเป็นที่จดจำ แต่กับเรื่องนี้เหมือนลืมเอาหัวใจมาหนังจึงดาหน้ามาเพื่อให้สนุกเต็มที่แต่พอมันมีอะไรที่แห้งแล้งความสนุกในแบบผู้ใหญ่ดูดีก็แห้งเหือดไป เหลือเพียงความสนุกแบบเด็กดูได้เพราะหนังเข้าใจง่ายเรื่องของฮีโร่และตัวร้ายที่เด็กๆชอบ ผ่านงานด้านภาพที่แสงสีตระการละลานตาจนเกือบเวียนกบาลทำให้คนดูวัยผู้ใหญ่ใกล้ชราตื่นตากับภาพแต่เนื้อหาไม่ตื่นใจเอาเลยสุดท้ายกลายเป็นงานที่เหมือนตั้งใจมามีอะไรแต่สุดท้ายไม่มีอะไรกลายเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ธรรมดาที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ความที่ผู้เขียนชอบหนังดราม่าเป็นทุนหลักแต่ดูหนังได้ทุกแนวจึงไม่มีหนังซุปเปอร์ฮีโร่ในดวงใจ จะมีก็แค่ดูแล้วชอบดูแล้วประทับใจเมื่อคิดถึงหนังซุปเปอร์ฮีโร่ก็จะนึกออกเป็นชื่อแรกๆซึ่งไม่ขอบอกว่าเป็นหนังเรื่องไหนแต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจคือความมีอะไรของหนังเรื่องนั้นๆ เพราะบางทีมิติเชิงลึกที่พึงมีที่จะพาดผ่านเหตุการณ์ที่ถูกเล่าได้จับใจคือมิติเชิงมิตรภาพเชิงความสัมพันธ์ถ้าเล่าได้น้ำหนักของตัวเรื่องก็จะแน่นขึ้น แต่กับเรื่องนี้ว่าตามจริงเห็นชัดว่ามีการพยายามให้คนดูจับใจในเรื่องของพ่อกับลูกระหว่าง Scott กับ Cassie ที่สองภาคก่อนเคยจับใจคนดูได้แต่ภาคนี้กลับมาแค่สะกิดใจไม่ปักเข้าข้างใน ทั้งเรื่องของความไม่เข้าใจช่องว่างระหว่างวัยที่ Cassie ที่เริ่มโตแต่ Scott หยุดอยู่กับที่ห้าปีในมิติควอนตัมซึ่งถ้าเล่าให้ได้ใส่มาให้ดีอาจมีที่จับใจได้มากกว่า แต่เหมือนกับว่าลืมหรือตั้งใจมาสนุกเลยมาแค่นี้จนเมื่อถึงเวลาที่คนดูจะต้องรู้สึกว่ามีอะไรกลับไม่เหลืออะไรให้มีจนไม่มีอะไรให้จดจำเมื่อไม่มีอะไรตราตรึงใจการแสดงที่ได้ตามมาตรฐานก็ไม่ได้ช่วยให้ประทับใจไปกว่านี้ สิ่งที่ได้เปรียบของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ MARVEL ที่เล่ามานานทั้งงานของตัวเองและการไปร่วมสนุกหรือรวมทีมกับซุปเปอร์ฮีโร่คนอื่นคือการได้ขึ้นจอบ่อย ซึ่งโดยปกติการคัดเลือกตัวนักแสดงที่มาแสดงเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของ MARVEL ก็มีความเหมาะสมกับตัวซุปเปอร์ฮีโร่นั้นๆอยู่แล้ว แล้วยังผ่านตาคนดูบ่อยๆทำให้ตัวนักแสดงคล้ายเป็นภาพจำของคนดูว่าฮีโร่ตัวนี้ต้องเป็นนักแสดงคนนี้ที่เมื่อได้เห็นครั้งแรกคนดูจะรู้สึกตื่นเต้นตื่นตา แต่เมื่อเวลาผ่านมานานพออาจจะไม่ตื่นตาแล้วแต่ความที่คนดูเชื่อไปแล้วว่านักแสดงคนนั้นเป็นฮีโร่ตัวนั้นจึงเหลือเพียงมาตรฐานการแสดงที่ยังคงได้ที่ ซึ่งกับเรื่องนี้นักแสดงอย่าง Paul Rudd,Evangeline Lilly,Michael Douglas,Michelle Pfeiffer และ Jonathan Majors ที่คนดูผ่านตามาแล้วก็คือทำหน้าที่ได้ตามมาตรฐาน แต่ที่มีเสน่ห์ที่เบ่งบานคือ Kathryn Newton ที่มารับบทยัยถั่วต้มช่วงวัยรุ่นที่อาจไม่ได้เล่นดีจนเลิศล้ำแต่เสน่ห์ก็ดึงดูดสายตาได้ น่าเสียดายที่เนื้อหาของหนังไม่มีอะไรทำให้การแสดงก็ชั่วไม่มีดีไม่ปรากฎตามไปด้วยไม่ปฏิเสธว่าหนังยังดูสนุกแต่เหมือนกับไม่เหลือทางไปทำให้เหมือนกลายเป็นดูตามหน้าที่ หรือผู้เขียนจะแก่เกินกว่าจะซึมซับไปกับหนังซุปเปอร์ฮีโร่แบบนี้เสียแล้วและเรื่องนี้ดูคนเดียวไม่เกี่ยวกับใครเพราะคนรักหนังตัวเล็กกลับโรงเรียนประจำไปแล้วตอนที่หนังเรื่องนี้ลงสตรีม ส่วนคุณแม่บ้านนางเลิกดูหนัง MARVEL ไปนานแล้วแต่จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เรื่องไหนเข้าใจว่าอาจจะคล้ายกันคือเริ่มมองเห็นความตีบตันของหนังหลังๆเพราะไม่เหลือทางใหม่ให้ไป ส่วนคนรักหนังตัวเล็กที่ส่วนใหญ่เมื่อได้ดูหนังแบบนี้ด้วยกันจะมีความเห็นของเขามาประกอบบทความเพราะเป็นมุมของคนที่โตมากับหนัง MARVEL แท้ๆ ส่วนสำหรับผู้เขียนล้วนๆต้องยอมรับว่าหนังยังคงดูสนุกสามารถดูได้รวดเดียวโดยมีลุกไปทำธุระบ้างแล้วก็กลับมาดูต่อจนจบรอบเดียว แต่ถ้าถามว่าติดใจอะไรตรงไหนบอกเลยว่าไม่มีอะไรให้จดจำนอกจากภาพและสีที่หวือหวาวูบวาบชวนระทมกบาล เป็นหนังที่ดูสนุกดูได้เพลินๆไม่ถึงกับน่าเบื่อและแน่นอนไม่ใช่หนังแย่แค่ว่ายังไปไม่ถึงระดับที่รุ่นพี่บางเรื่องพาคนดูไปได้ แล้วถ้าจะให้ดูซ้ำก็คงไม่เพราะเอาเวลาไปดูเรื่องอื่นดีกว่าเพราะเหมือนได้ทำหน้าที่ไปแล้วและจบแล้วจบกันเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่แสนธรรมดาดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram marvelstudiosจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/kDJ9yayopLa3https://entertainment.trueid.net/detail/Lja7eLeaE1PMhttps://entertainment.trueid.net/detail/YZPw24LvNKdOhttps://entertainment.trueid.net/detail/OBD02wzX0GqB