Short Comment Song of the Bandits ลำนำคนโฉด (2023)อุดมไปด้วยความเท่เน้นที่ความบันเทิงสุดระห่ำ ลดดราม่าลงแต่ยังคงเอกลักษณ์นับแต่ดูไปบ่นไปเริ่มดูละครหรือซีรีส์เกาหลีที่ตกอยู่ในวังวนนี้มาหลายปีผ่านตางานดีๆมาก็เยอะเลิกดูกลางทางที่วัยรุ่นข้างบ้านเรียกว่าเทก็มาก แน่นอนว่าส่วนใหญ่งานที่ได้ดูล้วนแต่มีดีในตัวแต่จะดีมากดีน้อยค่อยว่ากันเพราะถ้าไม่ดีก็ไม่มีทางดูได้ตลอดรอดฝั่งสำหรับซีรีส์ขนาดยาว จนเมื่อการมาของงาน Original ของทางค่ายสตรีมมิ่งต่างๆที่มาสร้างซีรีส์เกาหลีที่เห็นชัดว่ามีการปรับอะไรบางอย่างให้เหมาะสมกับผู้ชมต่างประเทศนอกเกาหลี โดยเฉพาะทางค่าย NETFLIX ที่เริ่มก่อนแล้วก็ขี้เกียจรำลึกแล้วว่าซีรีส์ Original จากค่ายนี้เริ่มเมื่อไหร่กับเรื่องไหนสำหรับซีรีส์เกาหลี แต่ที่แน่ๆสิ่งที่มีมาให้คือการปรับอะไรบางอย่างให้ดูดีขึ้นเมื่อออกสู่สายตาตลาดอินเตอร์นั่นคือการใส่ความเป็นอินเตอร์ลงไปในความเป็นเกาหลีที่ก็ยังมีความเป็นเอกลักษณ์ และความเป็นอินเตอร์ที่ว่านั้นก็สร้างความน่าสนใจในหน้าเสื่อที่จะมองเข้าไปในซีรีส์เรื่องนั้นๆว่าจะออกมาแบบไหนและด้วยสิ่งนี้ทำให้ต้องลดจำนวนตอนเพื่อความกระชับ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีแล้ววันนี้ก็มีซีรีส์เกาหลีที่เป็นงาน NETFLIX Originsl ที่น่าสนใจสุดๆเพราะมาในแนวคาวบอยเมื่อครั้งดินแดนโชซอนถูกยึดครองโดยญี่ปุ่นมีการตั้งกลุ่มต่อต้านทำให้แผ่นดินแม่ไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่สำหรับคนโชซอน ดังนั้นชาวโชซอนจำนวนหนึ่งจึงอพยพไปตั้งรกรากที่แมนจูเรียประเทศจีนโดยตั้งเป็นชุมชนชาวโชซอน หนึ่งในนั้นก็มีอียุน (คิมนัมกิล) อดีตทาสที่เคยเป็นทหารและนักฆ่าฝีมือดีในกองทัพญี่ปุ่นที่มีแผลใจในความโหดร้ายที่เพื่อนร่วมชาติได้รับจากการกระทำของตน เขาจึงเดินทางสู่แดนรกร้างแมนจูเรียเพื่อตามหาชเวชุงซู (ยูแจมยอง) เพื่อไถ่บาปด้วยความตายแต่ที่นั่นก็มีนักฆ่าหญิงรอเขาอยู่คือออนนยอนอี (อีโฮจอง) ที่ได้รับจ้างจากอีกวังอิล (อีฮยอนอุค) ชาวโชซอนขายชาติที่เข้ากับพวกญี่ปุ่นในฐานะนายทหารเจ้านายเก่าของอียุน แล้วหลังจากเหตุการณ์หมู่บ้านถูกโจมตีอียุนก็กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มโจรเพื่อพิทักษ์ชุมชนชาวโชซอนแต่ความลำบากก็เข้ามาเมื่อการหาเงินจากการปล้นอาวุธทำไม่ได้อีก ทางที่จะได้เงินก้อนใหญ่คือการปล้นรถขนเงินที่จะนำเงินค่าสร้างทางรถไฟมาแต่ความยากก็คือเหล่าโจรหลายกลุ่มก็หมายตาและตัวแปรที่มากับเงินนั้นคือนัมฮีชิน (ซอฮยอน) สตรีที่อียุนคนึงหาทุกเวลายังคงเป็นเอกลักษณ์ในการหยิบเอาพล็อตซ้ำๆกับภาพจำเดิมๆมายำใหม่ได้อย่างสนุก สิ่งที่ผู้เขียนชื่นชมเสมอมาคือเกาหลีจะเก่งมากในการหยิบเอาเรื่องเก่าเล่าซ้ำมายำใหม่ให้สนุกได้ เช่นกันการดูเรื่องนี้ตลอดเก้าตอนยอมรับว่าเมื่อผ่านไปในแต่ละตอนก็อดนึกถึงอะไรที่เคยผ่านตามาไม่ได้ทั้งโครงเรื่องที่ยังไงก็ต้องนึกถึง Mr. Sunshine มหากาพย์คลาสสิคในดวงใจเรื่องนั้น หรือโทนเรื่องที่ยังไงก็ต้องนึกถึงหนังคาวบอยตะวันตกและถ้าจะเจาะจงลงไปก็ต้องนึกถึง The Magnificent Seven (เจ็ดสิงห์แดนเสือ) ส่วนฉากและเสื้อผ้าหน้าผมก็ยังต้องนึกถึงหนังจีนคลาสสิคอย่าง Once Upon a Time in China หรือหนังชุดหวงเฟยหงที่เมื่อนางเอกออกมาก็อดคิดถึงบทน้าสิบสามของกวนจื่อหลินไม่ได้ทุกที ทั้งนี้ยังมีอะไรยิบย่อยมากมายที่เหมือนเคยผ่านตามาเล็กบ้างใหญ่บ้างระหว่างทางเพียบแต่ที่น่าชื่นชมคือต่อให้คิดถึงหนังเรื่องอื่นหรืออะไรที่เคยผ่านตามาหนัง (ขออนุญาตเรียกว่าหนังเพราะคุณภาพงานสร้างระดับนั้น) ยังดูสนุกและไม่เสียตัวตน นั่นคือต่อให้คนดูคิดถึงอะไรที่ว่ามามากมายหนังยังดูสนุกและไม่กลายเป็นหนังเรื่องอื่นยังคงเป็นลำนำคนโฉดได้อย่างถูกต้องตรงประเด็นทำให้เห็นว่าเกาหลีมีเอกลักษณ์คือความเก่งแบบนี้จริงๆเหมือนกับตั้งใจมาบันเทิงเต็มที่อุดมไปด้วยความเท่และใส่ใจเรื่องตัวละคร ส่วนที่ทำให้หนังเดินหน้าไปอย่างสนุกทั้งที่เหมือนเป็นการลากเรื่องที่ควรจบลงในเวลาไม่เกินสามชั่วโมงให้ออกมายาวได้แบบไม่น่าเบื่อคือความชัดเจน เพราะการเดินเรื่องของเรื่องนี้จะว่าไปก็เหมือนซีรีส์เกาหลีที่เป็นงาน Original ของ NETFLIX เรื่องที่ผ่านๆมาคือจะไม่พยายามเหนือชั้นหรือตั้งท่ามาพลิกผันหักมุมเหมือนซีรีส์เกาหลีแท้ๆ อาจเพราะมีตลาดอินเตอร์เป็นเป้าหมายการเล่าเรื่องเลยไม่ต้องซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรเดินหน้าไปเรื่อยๆแต่มั่นคงเพราะหนังซื่อตรงกับความบันเทิงต้องบอกแบบนั้น ทำให้ในแต่ละตอนนอกจากส่วนที่เล่าเรื่องก็ต้องมีฉากแอ็กชันใหญ่ๆมาให้มันส์ระห่ำสะใจที่แบบนี้มักจะเห็นในซีรีส์ฝรั่งมากกว่าเพราะถ้าเป็นเกาหลีแท้ๆบางตอนอาจมีบ้างที่ใช้เวลาทั้งหมดในการดราม่า ซึ่งเรื่องนี้ก็มีนะดราม่าไม่ใช่ไม่มีแต่เห็นชัดว่าใส่ใจที่เรื่องตัวละครที่มองว่าเป็นการเล่นที่ภาพเล็กเจาะจงลงไปทำให้ตัวละครได้ใจคนดูก่อน ซึ่งก็คือชัดเจนที่จะมาเป็นความบันเทิงที่จับต้องได้ที่มาพร้อมกับความเท่ที่เอามาขายและคนดูซื้อพยายามลดดราม่าลงจนแค่สัมผัสได้ไม่พยายามจับใจทำให้สนุกในเบื้องหน้าโดยไม่ต้องพะวงเบื้องหลัง อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเกาหลีที่จะต้องมีเสมอคือดราม่าที่แฝงมาในทุกเรื่องเพราะมันเป็นสไตล์และเรื่องนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น กระนั้นก็เห็นว่าดูเจือจางไม่ใช่จืดจางเพราะดราม่าเกี่ยวกับการถูกรุกรานโดยต่างชาติที่เป็นปมและรอยแผลของชนชาติเขาก็ยังคงมีแต่ไม่พยายามคั้นทำให้อารมณ์ชาตินิยมปลุกเร้าความรักชาติจนขนลุกไม่แรงมาก เดาว่ายังไม่ถึงเวลาเพราะนี่ก็เป็นการมาแค่ครึ่งเดียวตามสูตรเลยไปลงเจาะที่ตัวละครมากกว่ากับปมในใจที่มาที่ไปของแต่ละตัวละคร แต่ที่น่าสนใจคือการไม่พยายามบีบเร่งให้ฮึกเหิมจนน้ำตาไหลหรือเจ็บปวดขมในคอกับรักระหว่างรบอย่างที่เคยแต่กลับรู้สึกดีที่บทของเรื่องนี้ไม่พยายามจับใจ เพราะชั้นเชิงเดิมๆคือการแยกขั้วหัวใจชัดเจนคือการสร้างตัวละครฝั่งร้ายให้น่ารังเกียจจนไม่เหลือพื้นที่ในหัวใจยังใช้ได้ผลอยู่ หนังจึงบันเทิงไปข้างหน้าแบบไม่ต้องพะวงหลังเรื่องความรักชาติหรือความรักของหนุ่มสาวเพราะก็บอกกลายๆแล้วว่าถ้าไม่มีเพื่อนร่วมชาติแล้วจะกอบกู้เอกราชไปให้ใคร สำหรับคนบางคนอาจเกิดมาเพื่อบทแบบนี้และราศีบารมีที่แตกต่างระหว่างสตาร์กับนักแสดงทั่วไป จะว่าไปเรื่องนี้เดินเรื่องด้วยสี่ตัวละครหลักที่เหมือนชะตากรรมผูกมัดกันคือคิมนัมกิลในบทอียุนกับซอฮยอนในบทนัมฮีชินพร้อมด้วยอีฮยอนอุคในบทอีกวังอิลหรือมิอุระ โชเฮย์และอีโฮจองในบทออนนยอนอี แล้วสิ่งที่เห็นในส่วนของตัวละครและการแสดงของเรื่องนี้คือคิมนัมกิลเหมือนเกิดมาเพื่อบทแบบนี้เพราะเขาดูดีและเท่สุดๆในชุดยาวๆตั้งแต่บทบาทหลวงใน The Fiery Priest มาแล้ว ส่วนอีกคนที่คิดว่าเป็นตัวละครที่ต้องจดจำคืออีโฮจองที่รับบทเป็นนักฆ่าที่เก่งและเท่พอๆกับพระเอกและมีความกวนทำให้เหมือนเป็นพระเอกของเรื่องอีกคนได้ ส่วนซอฮยอนก็ตามขนบของนางเอกในนิยายรักระหว่างรบที่ต้องเสียสละความรักของตนเองเพื่อประเทศชาติเหมือนอังศุมาลินที่มีดีที่เสน่ห์ที่เหมาะกับตัวละคร ส่วนคนที่เห็นการแสดงที่เหมือนดูคนอื่นคืออีฮยอนอุคที่แสดงคล้ายกับพัคแฮซูจนบางครั้งเผลอคิดไปว่าพัคแฮซูมาแสดงซึ่งไม่แน่ใจว่าตั้งใจหรือไม่เพราะผู้เขียนก็ไม่ได้ดูเขาแสดงเรื่องอื่นๆแบบจริงจัง นั่นคือความต่างของคำว่านักแสดงทั่วไปกับคำว่าสตาร์เพราะเมื่อเห็นอีฮยอนอุคเข้าฉากกับคิมนัมกิลจะรู้เองว่าความต่างของสองคำนี้คืออะไรน่าเสียดายที่ไม่บอกก่อนว่านี่คือการมาแค่ครึ่งเดียวหรือแบ่งเป็นสองไม่งั้นคงดองไว้ดูรวดเดียวดีกว่า ไม่รู้ทำไมช่วงหลังถึงชอบทำกันแบบนี้ได้คือการตัดเนื้อหาออกเป็นสองภาคหรือสองซีซันทั้งที่ถ้าเล่าต่อกันก็ไม่เสียหาย และยิ่งกับเรื่องนี้ถ้าจะจบก็ได้เพราะเมื่อถึงตอนที่แปดก็สามารถจัดการทุกอย่างให้ลงตัวได้แน่นอนแต่เมื่อถึงตอนที่เก้าไฉนถึงทำแบบนั้น ที่สำคัญดันไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำว่าจะมีการแบ่งเป็นสองทำให้ตั้งใจดูเพราะก็แค่เก้าตอนน่าจะเป็นความบันเทิงที่ไม่ยืดเยื้อและไม่ค้างคา ทว่าเมื่อถึงตอนนี้กลับไม่จบและทิ้งเชื้อไว้เพื่อเล่าในเวลาต่อมาที่อาจเห็นภาพที่ใหญ่ขึ้นและแน่นอนสนุกขึ้นถ้าหนังยังชัดเจนที่จะเป็นแบบเก้าตอนนี้ กระนั้นเมื่อถึงบทสรุปในตอนสุดท้าย ณ เวลานี้ก็หวั่นเหลือเกินว่าจะละไว้ในฐานที่เข้าใจเพราะจะว่าไปก็ไม่ถึงกับใช้คำว่าค้างคาได้เต็มปาก เพราะถึงตอนนี้จบลงแบบนี้ก็ได้คือจบแบบปลายเปิดซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นคงน่าเสียดายเพราะเล่าได้แล้วอย่างสนุกคนดูพร้อมจะร่วมขับขานลำนำคนโฉดไปด้วยกันแล้ว เพียงแต่ถ้าบอกไว้ก่อนว่าจะมาแบบสองภาคเหมือนเรื่องก่อนหน้านี้จะดองไว้ดูรวดเดียวเพราะความสนุกจะได้ต่อเนื่องดูไปบ่นไปhttps://www.youtube.com/watch?v=jiK7L_FGfkg&ab_channel=NetflixThailand ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 2,3,4,5,6 / ภาพที่ 7,8 จาก Instagram netflixkrภาพที่ 1 จาก Instagram netflixthVDO ตัวอย่าง จาก YouTube Netflix Thailand ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/pgmrLKp6vNLBhttps://entertainment.trueid.net/detail/oz4vq0q4Jpqmและถ้าคุณชอบ "คิมนัมกิล" คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/2Qepkyk7b6Zghttps://entertainment.trueid.net/detail/0g8y0j5vEP7Oจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !