[รีวิวซีรีส์] Duty After School Part 2 : บทสรุปเหนือความคาดหมายที่หลายคนเกลียด(แต่เรารัก)
ไม่รู้จะนิยามทีมผู้สร้างว่า Duty After School เป็นกลุ่มคนใจร้ายหรือใจกล้าบ้าบิ่นดี เพราะเชื่อว่าหลายคนที่เลือกมาดูพาร์ท 2 ต่อ ก็ล้วนแล้วแต่โดนความเป็นซีรีส์สงครามเอเลี่ยนยิงดุในพาร์ทที่ 1 ตีหัวเข้าด้อมให้มากองกันอยู่ตรงนี้ เพื่อรอชมความมันในพาร์ทต่อไปที่ไม่ว่าใครก็ต้องมีคาดหวังกันบ้างแหละว่าพาร์ท 2 มันต้องทวีความเดือด มัน สะใจ ซึ่งกลายเป็นว่ากลับมาคราวนี้ซีรีส์ดันหักหลังคนดูจนหลังเดาะ ด้วยการเปลี่ยนจุดโฟกัสหลักของเรื่องราวที่พูดถึงการทำสงครามกับเอเลี่ยนให้กลายเป็นสงครามจิตวิทยากับมนุษย์กันเอง จนนำไปสู่บทสรุปสุดหักมุมที่สาวกต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเกลียดชัง
เกลียดเพราะมันจบง่ายเกินไป ?
เกลียดเพราะมันคาดเดาได้ ?
หรือเกลียดเพราะมันไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ?
บอกตามตรงว่าใครที่ดูจบแล้วก็คงคาดเดาได้ไม่ยากแหละว่าตอนจบของซีรีส์ DUTY AFTER SCHOOL นั้นเป็นที่พูดถึงในด้านลบมากกว่าด้านบวกด้วยเหตุผลอะไร และถึงแม้ว่าใครจะไม่ยอมรับความเห็นต่างแต่ทางเราก็บอกได้เลยว่าเราหลงรักในความกล้าของซีรีส์ที่ฉีกออกจากความคาดหวังของคนดูไป แต่ยังสอดแทรกประเด็นสังคมอันน่าสนใจและชวนให้ตีความเอาไว้มากมาย ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยดีกว่าว่าเรามองเห็นอะไรในบทสรุปของซีรีส์เรื่องนี้
เรื่องย่อ
นับตั้งแต่วันที่โลกถูกสัตว์ประหลาดบ้าคลั่งไล่เขมือบคนมาเป็นเวลาร่วมปี กลุ่มทหารเยาวรุ่นหน่วย 2 ที่สูญเสียผู้ดูแลไปจึงต้องพยายามช่วยกันหาทางเอาชีวิตรอดไปจนกว่าความช่วยเหลือจากรัฐบาลจะมาถึง แต่เมื่อยิ่งรอก็ยิ่งท้อเพราะนับวันพวกเขายิ่งต้องเจอสถานการณ์อันตรายเข้าใกล้ความตายมากขึ้นไปทุกที แถมยังต้องมารับรู้อีกว่าการสอบซูนึงหรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งใหญที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกเขามาตลอดกลับถูกยกเลิกไปแต่จะทำการสอบใหม่อีกครั้งในปีถัดไปแทน ทำให้กลุ่มเด็กม.6 ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนในประเทศนี้ต้องหาทางเอาชีวิตรอดไปให้ถึงวันนั้นให้ได้แม้จะต้องเจอกับอุปสรรคอีกมากมายก็ตาม
เปิดเรื่องราวในพาร์ทที่ 2 ด้วยฉากแอ็กชั่นที่โชว์ให้เห็นว่าหน่วยลูกเจี๊ยบในวันนั้นกลายมาเป็นกองพันลูกเทพที่ฝีมือเก่งกาจมากขึ้นแค่ไหนในปัจจุบัน เราคนดูจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครอย่างชัดเจนราวกับว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกหน่วยที่ผ่านทุกเหตุการณ์ดีและร้ายด้วยกันมาหมาด ๆ การที่ได้เห็นเหล่าตัวละครเติบโตขึ้น คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แถมยังปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ราวกับว่าสามารถยอมรับสภาพความเป็นจริงที่โลกใบนี้อาจไม่ได้มีโอกาสกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ผ่านการทำงานเป็นทีมเวิร์คที่ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนมากขึ้น บางตัวละครก็แสดงออกว่าเป็นนักวางแผนที่ดี บางตัวละครก็เป็นหน่วยจู่โจมที่เก่งกล้า และอีกหลายตัวละครก็เรียนรู้จะกำจัดจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อลดการทำตัวเป็นภาระของส่วนรวมให้มากที่สุด
จุดนี้ต้องขอชื่นชมอีกครั้งว่าทีมงานเก่งมากที่สามารถรักษาจุดเด่นในเรื่องการกระจายบทบาทของเด็กสิบกว่าคนได้อย่างเท่าเทียม ทุกคนมีคาแร็กเตอร์น่าจดจำ น่าเอาใจช่วย และไม่ทำให้เรารู้สึกว่าจะหลงลืมใครไปได้เลย มันจึงเป็นข้อดีที่ทำให้คนดูที่รู้สึกผูกพันกับตัวละครมาประมาณนึงในพาร์ทแรกอยู่แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกผูกผันกับทุกตัวละครในพาร์ทนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าใช้เวลาใน Ep.1 อย่างเต็มที่ไปกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของเหล่าเด็กน้อยที่ถูกเร่งโตด้วยภาระเกินวัย ราวกับว่าคนเขียนบทตั้งใจให้เราดื่มด่ำกับความสุขตรงนี้เอาไว้ ก่อนที่ความรู้สึกผูกพันนี้จะถูกดึงมาใช้เป็นไม้เด็ดตอกฝาโลงคนดูอีกครั้งในช่วงสุดท้าย
และเมื่อเริ่มดูไปไม่นาน จุดแรกที่คนพูดถึงกันเยอะในซีรีส์พาร์ทนี้ก็คือ โฟกัสของซีรีส์ที่เปลี่ยนไป เป็นจุดสำคัญที่ทำให้หลายคนรู้สึกตะหงิดใจแปลก ๆ และเริ่มรู้สึกไม่มั่นคงกับ Duty After School พาร์ท 2 นี้ว่าจะดำเนินเรื่องราวไปในทิศทางไหนกันแน่ เกิดเป็นความรู้สึกงง ๆ สับสน ๆ เพราะในพาร์ทที่แล้วซีรีส์ดันให้ความหวังไว้ซะเยอะ ซึ่งในขณะเดียวกันถ้าใครที่ไม่ได้คาดหวังว่านี่จะเป็นซีรีส์แอ็กชันไซไฟไล่ฆ่าเอเลี่ยนสุดเดือดตั้งแต่แรก ก็คงจะไปต่อกับเรื่องราวพาร์ทนี้ได้แบบชิลล์ ๆ แถมอาจจะรู้สึกได้ทันทีเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้ยังมีประเด็นอะไรที่น่าสนใจยิ่งกว่าเอเลี่ยนบุกโลกซ่อนเอาไว้เป็นไม้เด็ด จุดนี้นี่แหละที่ทำให้ยิ่งน่าติดตามเข้าไปใหญ่
เพราะแก่นแท้ของซีรีส์จับวัยรุ่นมาฆ่าเอเลี่ยนเรื่องนี้ มันคือการจิกกัดความล้มเหลวของระบบการศึกษาในเกาหลีใต้อันโหดร้ายที่ทำให้คนต้องลุกขึ้นมาแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตาย ซีรีส์เลือกที่จะทำหน้าที่เสียดสีเหล่าผู้มีอำนาจในสังคมที่ทิ้งความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่แล้วโยนให้นักเรียนมัธยมที่ไม่รู้อิโหน่อิเน่อะไร โดยเอาคะแนนพิเศษและอนาคตของเด็กมาเป็นตัวประกันแทน ตลอดเรื่องราวในพาร์ท 2 จะเห็นว่าซีรีส์มันคอยแต่จะขยี้ประเด็นความบิดเบี้ยวของโลกใบนี้ ที่แม้ความเหลื่อมล้ำของชนชั้นในสังคมจะห่างชั้นจนเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีใครอีกหลายคนที่กลับมองไม่เห็นมัน
ทั้งที่เราอายุเท่ากัน แต่ทำไมฉันแบกความฝันหนักกว่าใคร ?
หนึ่งในประเด็นสังคมที่ซีรีส์เลือกที่จะสอดแทรกเอาไว้ก็คือ ความจน ความจริงของสังคมหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องยอมรับว่าโลกใบนี้ยังมีเด็กอีกหลายล้านคนที่ครอบครัวไม่ได้มีกำลังมากพอจะส่งลูกให้เข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างที่เด็กคนหนึ่งควรได้รับ ไหนจะความกดดันและความท้อแท้จากสภาพที่อยู่อันเลวร้ายที่ไม่เอื้อให้ลืมตาอ้าปากได้ง่าย ๆ ลามไปถึงการโดนดูถูก กลั่นแกล้งในโรงเรียนสารพัดโดยที่ไม่มีใครช่วยเหลือได้ ทำให้ยังมีเด็กอีกมากในเกาหลีใต้ที่คิดว่าการศึกษาที่ดีเท่านั้นคือตั๋วเที่ยวเดียวที่จะพาเขาออกไปจากความจนอันน่าคับแค้นใจนี้ได้ โดยเฉพาะกับเด็กที่มาจากครอบครัวปากกัดตีนถีบแล้ว ภาวะสงครามอันยาวนานกับเอเลี่ยนที่ทำให้การสอบซูนึง (การสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งใหญ่) ถูกเลื่อนออกไป จึงไม่ต่างอะไรกับการถูกขโมยตั๋วสู่ความรุ่งโรจน์ใบเดียวที่มีในชีวิตให้ยิ่งไกลออกไปทุกที ไม่มีเงินไปลงเรียนพิเศษปีหน้า ไม่มีคะแนนพิเศษใด ๆ ไม่มีใครสนใจ (ซึ่งจะโทษคนอื่นก็ไม่ได้อีก) ไม่เหลือความหวังอะไรเลย
จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ถ้าสภาพจิตใจของเด็กคนนั้นที่ถูกสังคมกดทับจนแหลกสลาย จะติดกับดักความทะเยอทะยานของตัวเองจนดำดิ่งเข้าสู่จิตใจด้านมืดที่มองโลกกลับตาลปัตร จนไม่สามารถควบคุมจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีได้อีกต่อไป ก่อให้เกิดแรงจูงใจผิด ๆ ที่ผลักให้ตัวละครหันมาทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้
ส่วนตัวผู้เขียนกลับชอบที่สุดท้ายแล้วซีรีส์เลือกหยิบเอาประเด็นสุดคลาสสิก ที่ไม่ว่าโลกจะเกิดภัยพิบัติเลวร้ายหรือถูกรุกรานด้วยสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหน มนุษย์ที่อยู่ด้วยกันบนความหวาดระแวงและไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันนี่แหละที่น่ากลัวยิ่งกว่า! การเอาตัวรอด ความเห็นแก่ตัว และมิตรภาพที่เกิดรอยร้าวมันเป็นพาร์ทโปรดที่เรารอคอยและคาดหวังว่าซีรีส์แนว Post – Apocalyptic World ทุกเรื่องจะนำเอาประเด็นนี้มาบดขยี้ได้อย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่ง DUTY AFTER SCHOOL Part 2 เองก็ดึงเสน่ห์ตรงนี้มาใช้ได้ดีเลยทีเดียว สภาพสังคมที่เกือบจะล่มสลายแถมโลกภายนอกยังโหดร้ายมากขึ้นทุกวันมันจึงค่อย ๆ เปลี่ยนเพื่อนคนเดิมที่ยืนข้างกันให้ค่อย ๆ กลายเป็นคนแปลกหน้าไปทีละนิด จากสถานการณ์เลวร้ายที่เจอในแต่ละวันคอยบีบบังคับเหมือนกับเกมนรกที่เล่นไม่มีวันจบต่อให้อุปสรรคแต่ละด่านยากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม แต่ในทางกลับกันมันก็ยังไม่สร้างอิมแพคได้มากพอที่จะทำให้ฉากเด็ดในช่วงท้ายกลายเป็นฉากที่คนดูเชื่อในการตัดสินใจบางอย่างของตัวละครได้ง่าย ๆ แม้จะเป็นฉากที่สร้างผลกระทบต่อจิตใจคนดูแบบรุนแรงมากก็ตาม
ขออวยอีกหน่อยว่าโศกนาฏกรรมในช่วงท้ายคือความสุดโต่งที่ซีรีส์ต้องการแสดงความจริงใจกับคนดูอย่างถึงที่สุดว่ามันจะไม่มีการปราณีตัวละครไหน ทุกคนมีสิทธิ์จะเป็นจะตายเท่ากัน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นลูกรักของคนดูหรือไม่แต่ไม่มีใครเป็นลูกรักของคนเขียนบทแน่นอน ทุก ๆ การกระทที่ผ่านมาของตัวละครจะถูกคิดบัญชีเรียบ เปลี่ยนบรรยากาศหนังให้ยิ่งทวีความตึงเครียดและสิ้นหวังได้ดีสุด ๆ ได้ความรู้สึกคล้าย ๆ กับตอนดู Game of Throne ที่เราไม่สามารถไว้ในผู้กำกับได้เลย อันที่จริงตลอดการเดินทางใน 10 Ep นี้ ซีรีส์ได้พยายามเตือนเราตลอดว่านี่คือเรื่องราวการเอาชีวิตรอดที่เราจะได้เห็นทั้งก่อนและหลังสงครามอย่างชัดเจนว่ามันเปลี่ยนตัวตนตัวละครคนหนึ่งไปได้มากแค่ไหน การเติบโตมาในโลกที่เลวร้ายมันส่งผลอะไรต่อเด็กได้บ้าง เรียกได้ว่าพาร์ท 2 นี้จะเน้นการดำเนินเรื่องไปที่มิติตัวละครอย่างชัดเจน
ซึ่งถ้าจะให้พูดว่า DUTY AFTER SCHOOL Part 2 มีจุดน่าเสียดายตรงไหน ก็คงต้องพูดถึงเวลาเล่าเรื่องอันน้อยนิดทั้งที่มีอะไรให้เล่าได้อีกเยอะ แล้วไหนจะข้อสงสัยหลาย ๆ อย่างที่ซีรีส์ไม่มีคำตอบให้ทั้งที่เป็นจุดสำคัญที่ควรมีเล่าเพื่อความสมบูรณ์ของเรื่องราว เช่น
คุณพี่ทหารวอนบินหายไปไหน ?
จุดเริ่มต้นปัญหาความหวาดระแวงกันในกลุ่มเด็กมันเกิดจากอะไร ?
รัฐบาลจะใช้วิธีไหนจัดการกับพวกเอเลี่ยน ?
นี่ยังไม่รวมฉากอื่นอีกมากมายที่เราอยากให้ขยายแต่ซีรีส์ก็โดนตัดบทไปซะดื้อ ๆ ถ้าให้พูดตรง ๆ เลยก็คือคนดูเขาผูกพันกับตัวละครไปแล้วไงก็เลยอยากเห็นอะไรที่มากกว่านี้นั่นแหละ เอาเป็นว่าในพาร์ทที่ 2 นี้แม้จะมีจุดจบของเรื่องราวราวที่ไม่น่าประทับใจเท่าพาร์ทแรก แต่ซีรีส์ก็ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของตัวละคร งาน CG ทุ่มทุนสร้าง และ Production ที่มาตรฐานดีไม่มีตก แถมยังสามารถสอดแทรกประเด็นน่าขบคิดเอาไว้ได้ดีเช่นเดิม
เจตนาที่แท้จริงของซีรีส์ที่ต้องการจะสื่อสารออกมาว่าสงครามไม่เคยส่งผลดีกับใคร โดยเฉพาะกับเด็กและผู้ที่อยู่ในจุดต่ำสุดของห่วงโซ่ความเหลื่อมล้ำที่ไม่มีทางเลือกใด ๆ (เพราะมีแต่คนถือวิสาสะเลือกให้มาตลอด) แน่นอนว่าเราไม่ได้เห็นด้วยกับการกระทำเลวร้ายที่บางตัวละครทำลงไป แต่เราแค่ต้องการจะย้ำความรู้สึกประทับใจที่บทสรุปของเรื่องนี้มันกลายเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของคนมากกว่าจะเป็นแค่หนังไล่ฆ่าเอเลี่ยนทั่วไป ต้องชื่นชมความกล้าของทีมเขียนบทที่บ้าพอจะพาตัวละครที่คนดูรักไปสู่ปลายทางอันน่า… ซึ่งเราการันตีเลยว่าไม่มีทางลืมได้ง่าย ๆ แน่นอน