สำหรับคอภาพยนตร์ไทย เชื่อแน่ว่าหลายคนคงจะได้ดู ขุนแผน ฟ้าฟื้น กันไปแล้ว ไม่ว่าจะในโรงภาพยนตร์เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปลายปีที่ผ่านมา หรือดูย้อนหลังผ่านทางบริการสตรีมมิงยอดนิยมอย่าง Netflix ซึ่งได้รับกระแสนิยมบอกต่อกันปากต่อปากจนกลายเป็นภาพยนตร์ที่ขึ้นแท่นอันดับ 1 ของ Netflix Thailand เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การนำเอาวรรณคดีมาตีความและบอกเล่าในมุมมองใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นในเรื่อง ขุนแผน ฟ้าฟื้น เป็นเรื่องแรก เพราะแรงบันดาลใจจากวรรณคดีไทยเคยก่อให้เกิดงานศิลปกรรมหลากหลายแขนงมาแล้วในอดีต ไม่ว่าจะในวงการศิลปกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม หรือแม้กระทั่งในวงการเพลง วรรณกรรม และวงการภาพยนตร์ ถ้าใครเคยอ่าน “พระลอ” ในฉบับตีความใหม่อย่างนวนิยายเรื่อง รักที่ถูกเมิน ของ นิตยา นาฏยะสุนทร ( พ.ศ. 2499) รักที่ต้องมนตรา ของ ทมยันตี (พ.ศ. 2511) รอยมนตรา ของ ศศิริยะทิพย์ (พ.ศ. 2554) เคยดูหนัง/ละครอย่างเรื่อง กากี สหัสวรรษ (พ.ศ.2546) ชาละวัน ไกรทอง 2 (พ.ศ.2549) บุรำปรัมปรา (พ.ศ. 2558) หรือเคยฟังเพลงจากวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นกระแสนิยมเมื่อราว 4-5 ปีที่ผ่านมา ก็คงจะพอนึกภาพออกว่าที่ผู้เขียนกล่าวมานี้ไม่ได้เป็นการยกเมฆแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าในบรรดาวรรณคดีหลากเรื่องหลายรสเหล่านั้น เคยมีการอ้างถึงตลอดจนหยิบยกนำมาต่อยอดสร้างสรรค์ถ่ายทอดเป็นงานศิลปะใหม่ ๆ ขึ้นจริง ซึ่งหากจะให้พูดถึงทั้งหมด พื้นที่การนำเสนอบทความเพียงเท่านี้ก็คงไม่เพียงพอ ในวันนี้จึงจะขอกล่าวถึงงานศิลปะ 2 แขนง ที่ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เท่านั้น นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง ขุนแผน ฟ้าฟื้น ของผู้กำกับภาพยนตร์มือรางวัลอย่าง ก้องเกียรติ โขมศิริ และนวนิยายเรื่อง ปลายเทียน ของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ที่มีนามปากกาว่า แก้วเก้าหัวเราะเพราะ “ขุนแผน ฟ้าฟื้น” ขุนแผน ฟ้าฟื้น (พ.ศ. 2562) เป็นภาพยนตร์ที่นำวรรณคดีไทยเรื่อง ขุนช้างขุนแผน กลับมาสร้างและถ่ายทอดในมุมมองใหม่ ให้มีความโมเดิร์นทันต่อยุคสมัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนา เพลงประกอบภาพยนตร์ ไปจนถึงมุกตลกที่กระหน่ำใส่เข้ามาเกือบทุกฉาก บอกเล่าเรื่องราวของ แก้ว เด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าและความจำเสื่อมคนหนึ่ง ที่ได้มาพบกับ ช้าง และพิม เพื่อนในวัยเด็กที่ดูเหมือนว่าทั้งสองกำลังหมั้นหมายชอบพอกันอยู่ ช้างได้ชวนให้แก้วสมัครเข้าเป็นทหารในสังกัดหน่วยควายเผือก ซึ่งจากการสมัครเข้ามาเป็นทหารนี่เอง ที่ทำให้ แก้ว ได้รู้จักหมอผีผู้ทรงอำนาจอย่าง แสนตรีเพชรกล้า และลูกน้องอีกาของเขา ตลอดจนจอมขมังเวทย์ผู้มีพลังอาคมอันแก่กล้าอย่าง อาจารย์เดช ที่มองเห็น ‘แวว’ อะไรบางอย่างในตัวแก้วและรับเอาแก้วไว้เป็นลูกศิษย์ เรื่องราวของ แก้ว ใน ขุนแผน ฟ้าฟื้น สมัยดิจิตอลนี้ ไม่ได้มีฉากติดเรตจนทำให้เกิดกรณีวิวาทะอย่างเรื่อง ขุนแผน (พ.ศ.2545) เพราะชีวิตของแก้วในเวอร์ชั่นนี้ เป็นการนำเอาวรรณคดี ขุนช้างขุนแผน มาเขียนบทและตีความนำเสนอในมุมมองใหม่ โดยที่ยังเก็บรายละเอียดจากวรรณคดีต้นฉบับเอาไว้ได้มากพอสมควร ถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะเน้นหนักไปทางตลก แอคชั่น และแฟนตาซี แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผู้ชมได้มีโอกาสทำความรู้จักกับ แสนตรีเพชรกล้า ซึ่งอาจจะเป็นตัวละครที่เชื่อมเปิดโลกระหว่าง ‘โลกวรรณคดีประยุกต์’ และ ‘โลกวรรณคดีมรดกต้นฉบับ’ ให้แก่ผู้ชมบางท่านก็เป็นได้สะอื้นเพราะ “ปลายเทียน” เมื่อเทียบอายุกันแล้ว ในจักรวาลขุนช้างขุนแผนที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ ปลายเทียน ถือว่ามีศักดิ์เป็นพี่ของ ขุนแผน ฟ้าฟื้น โดยมีอายุมากกว่า ขุนแผน ฟ้าฟื้น ถึง 20 ปีเต็ม ทั้งนี้ก็เพราะว่า แก้วเก้า ได้จุดประทีปแห่ง ปลายเทียน ให้ปรากฏขึ้นในวงการวรรณกรรมเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ผ่านการลงตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารสกุลไทยในช่วงนั้น คือในระหว่างปี พ.ศ. 2542 - 2544 ก่อนที่นวนิยายเรื่องนี้จะได้รับการรวมเล่มสมบูรณ์ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2544 หลังจากที่นวนิยายได้รับการเผยแพร่ทางนิตยสารจนจบสมบูรณ์ เรื่องราวของวรรณคดีไทยเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ใน ปลายเทียน เริ่มต้นขึ้นเมื่อนักเขียนใหญ่ผู้มีนามว่า วงศ์เมือง ได้สมุดข่อยฉบับเชลยศักดิ์มาเล่มหนึ่งซึ่งมีวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน อยู่ในสมุดข่อยเล่มนั้น โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าสมุดข่อยเล่มนั้นจะเป็นสื่อประตูผ่านไปสู่อีกมิติหนึ่งได้ เมื่อ วงศ์เมือง ได้พลัดหลงเข้าไปอยู่ในสมุดข่อยเล่มนั้น เขาก็ได้พบกับ เจ้าสร้อยสุมาลี น้องสาวของ เจ้าสร้อยฟ้า ธิดาแห่งเมืองเชียงใหม่ ซึ่งกำลังถูกส่งไปถวายตัวแก่ พระพันวษา ที่อยุธยา พร้อมด้วย แสนตรีเพชรกล้า นายทหารบุตรชายแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีหน้าที่ทำการอารักขา เจ้าสร้อยสุมาลี พร้อมด้วยสองพี่เลี้ยงคือ นางหล้า และ นางลูน เมื่อ วงศ์เมือง เห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังจะหลบหนีจากขบวนที่มุ่งหน้าไปยังอยุธยา เขาจึงได้ให้ความช่วยเหลือ สร้อยสุมาลี เพชรกล้า พร้อมทั้งนางหล้าและนางลูน โดยพาพวกเขาเหล่านั้นออกมาจากโลกวรรณคดี แล้วให้ไปหลบหนีอยู่ที่บ้านโบราณของเขา ซึ่งโลกภายนอกวรรณคดีนี่เองที่ทำให้เจ้าสร้อยสุมาลีและเพชรกล้าได้พบกับ เรวิทย์ และ เกาลัด หนุ่มสาวสมัยใหม่นอกโลกวรรณคดี ซึ่งสองคนนี่เองที่คอยให้ความช่วยเหลือเจ้าสร้อยสุมาลีและเพชรกล้าให้รอดพ้นจากการตามล่าของ ขุนแผน แม่ทัพผู้เก่งกล้าจากกรุงศรีอยุธยาที่ได้หาทางติดตามออกมาจากโลกวรรณคดีเพื่อทำหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ นอกจาก โครงเรื่อง (Plot) ที่แปลกใหม่น่าสนใจและตัวละครที่น่าติดตามความเป็นไปแล้ว ความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ ปลายเทียน คงจะหนีไม่พ้น บทสนทนา (Dialogue) ของตัวละครในเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทสนทนาของตัวละครจากโลกในวรรณคดี คือ เจ้าสร้อยสุมาลี เพชรกล้า นางหล้า นางลูน ขุนแผน เถรขวาด เป็นต้น ซึ่งตัวละครเหล่านี้ต้องพูดจาหรือสนทนากันเป็นกลอนเสภา ตามลักษณะการนำเสนอในวรรณคดีต้นฉบับเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ที่นอกจากจะถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ ‘นวัตกรรม’ ทางวรรณกรรมแล้ว ยังอาจเรียกได้ว่าเป็น ‘กระบวนการทำให้แปลก’ (Defamiliarization) ในทางทฤษฎีรูปลักษณ์นิยมรัสเซีย ซึ่งถือว่าเป็นทฤษฎีวรรณกรรมวิจารณ์แห่งศตวรรษที่ 20 อีกด้วย ปลายเทียน จึงเรียกได้ว่าเป็น ‘นวัตกรรม’ ชิ้นเอกทางวรรณกรรมอีกเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ เพราะในวรรณกรรมเรื่องนี้ แก้วเก้า ได้นำเอาเสน่ห์ของ “วรรณคดี” มาประยุกต์สร้างสรรค์ให้เป็น “นวนิยาย” ได้อย่างลงตัว หมดจดงดงาม เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานขนบการเล่าเรื่องในยุควรรณคดีและยุควรรณกรรมร่วมสมัย คือ ‘นิยาย’ ในยุคขนบฉันทลักษณ์ และ ‘นวนิยาย’ ในยุคบทสนทนา (Dialogue) ได้อย่างพอเหมาะพอดี ลบเส้นแบ่งระหว่างคำว่า “นิยาย” และ “นวนิยาย” ตามนิยามทางทฤษฎีวรรณกรรมออกไป เพื่อจรรโลงความเป็นศิลปะบริสุทธิ์ออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมมากที่สุด การสร้างตัวละครในเรื่อง ปลายเทียน จะถือว่ายากก็ยาก แต่ถ้าจะให้เรียกว่าง่าย ก็ยังไม่อาจจะพูดออกมาได้เต็มปาก ทั้งนี้ก็เพราะว่า แก้วเก้า ไม่สามารถที่จะปั้นแต่งนิสัยให้ตัวละครทุกตัวได้ดังใจนึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดตัวละครที่นำออกมาจากวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน นั้น แทบไม่อาจจะปรับแก้ลักษณะเฉพาะตัวของพวกเขาได้เลย ขุนแผน ที่จงรักภักดีในหน้าที่อย่างไรในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เมื่อนำเขาออกมาโลดแล่นนอกวรรณคดี ก็ยังต้องคงลักษณะเฉพาะนั้นของขุนแผนเอาไว้ แม้ว่าคาถาคงกระพันชาตรีของพระเอกในวรรณคดีอย่างขุนแผน จะทำให้เขากลายมาเป็นตัวร้ายที่ไม่มีใครสามารถต่อกรได้ในเรื่อง ปลายเทียน ก็ตามที เช่นเดียวกันกับตัวละคร เถรขวาด ซึ่งในวรรณคดีเป็นพระทุศีลอย่างไร ภายนอกวรรณคดีก็ต้องคงลักษณะเดิมนั้นในวรรณคดีไว้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ย่อมหมายรวมไปถึงตัวละครอย่าง เพชรกล้า เจ้าสร้อยสุมาลี นางหล้า นางลูน และตัวละครอื่น ๆ ด้วย แต่อย่างไรก็ตามการนำตัวละครสองชุด สองโลก สองกาลเวลามาพบเจอกัน กลับเป็นผลดีที่ช่วยทำให้ แก้วเก้า สามารถนำเสนอค่านิยมของคนสองยุคสมัย ผ่านตัวละครที่แตกต่างกันทางแนวคิดและค่านิยมอันเนื่องด้วยความแตกต่างของยุคสมัยดังกล่าวนั้นได้อย่างแนบเนียน เช่น ค่านิยมการครองคู่แบบให้ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า โดยให้ให้ชายนักรักในยุคสมัยก่อนอย่าง ขุนแผน ได้มาปะวาทะกับนักธุรกิจสมัยใหม่ที่ผิดพลาดในการบริหารจัดการเกี่ยวกับคู่ชีวิตและครอบครัวอย่าง วัจน์ — พ่อของเรวิทย์ หรือ การนำเสนอแนวคิดที่ว่าผู้หญิงนั้นเมื่อได้ต้องมือชายก็ย่อมจะคลายพยศ โดยให้ เพชรกล้า บุรุษนักรบโบราณที่ยังเชื่อในแนวคิดเช่นนั้นได้มาปะวาทะกับสาวนอกโลกวรรณคดีหัวสมัยใหม่อย่าง เกาลัด ซึ่งเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ภูมิใจในความเป็นผู้หญิงของตนเอง พร้อมทั้งวางวิถีความเป็นหญิงของตนเองไว้เหนือการดูถูกและเหยียบย่ำของบุรุษเพศทุกคน จนทำให้เพชรกล้าจำต้องสยบยอมใจอย่างสิ้นเชิงชายในท้ายที่สุด เป็นต้น “อันวิสัยผัวเมียย่อมเคลียเคล้า ถึงแก่เฒ่าตัดไม่ขาดวาสนา” “สมัยนี้ไม่ทำอย่างท่านว่าหรอกครับ ผัวเมียอยู่กันนานๆก็เบื่อ ไม่รู้จะทนกันทำไม ขนาดผมเป็นคนดี เขาก็ยังไม่พอใจ อยู่กันไม่ได้...” (จาก ปลายเทียน — หน้า 437-438). “ถ้าคุณมีอะไรๆกับเจ้าสร้อยสุมาลีแล้ว คุณก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำลงไป อีกอย่างที่จะบอกคือวิธีการของคุณมันอุบาว์ท ...คือมันไม่ดีน่ะเพชรกล้า พอคุณชอบผู้หญิงคนไหนคุณก็ต้องจีบให้เขาชอบคุณด้วย ไม่ใช่ปีนเข้าไปหาเอาดื้อๆ มันอาชญากรรมรู้มั้ย ถ้าคุณทำกะฉันยังงั้น เท่ากับคุณเห็นฉันเป็น sex object ....วัตถุทางเพศ ...คือเห็นฉันเป็นเหมือนของอะไรสักอย่าง อยากกินก็หยิบกิน แต่ฉันไม่ใช่ของ ฉันเป็นคนเหมือนกับคุณเหมือนกับขุนแผน คุณจะทำกับฉันยังงั้นไม่ได้ มันละเมิดสิทธิมนุษยชนรู้เปล่า ฉันต่างหากเป็นฝ่ายเลือกเองว่าฉันจะรักคุณหรือไม่รัก” (จาก ปลายเทียน — หน้า 484-486) ถึงแม้ว่าตัวละครชุดหนึ่งใน ปลายเทียน จะเป็นตัวละครในวรรณคดี ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในกลุ่มนักวิจารณ์วรรณกรรม-วรรณคดีและวรรณกรรมศึกษา ว่าตัวละครในวรรณคดีไทยนั้นมักจะมีลักษณะ “แบน” ไม่มี ‘มิติ’ ของความเป็นมนุษย์ แต่ในเรื่อง ปลายเทียน นั้น เมื่อหยิบยกนำเอาตัวละครจากวรรณคดีออกมาสู่โลกจริง ๆ แก้วเก้า ก็ได้พยายามสร้างแรงจูงใจ (Motivation) ให้ตัวละครจากวรรณคดีเหล่านั้นแสดงพฤติกรรมทั้งดีและร้ายออกมาพร้อม ๆ กันอย่างแยบยล จึงทำให้ ปลายเทียน ซึ่งถือว่าเป็นจินตนิยาย (Fantasy) และมองดูผิวเผินคล้ายกับจะเป็นนวนิยายหลีกเร้นเบาสมอง กลายมาเป็นนวนิยายที่บีบเค้น หนักหน่วง และทำงานกับหัวใจของผู้อ่านได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนจบของเรื่องซึ่งเป็นการจบแบบโศกนาฏกรรมที่ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นการทำร้ายหัวใจผู้อ่าน จนถึงขั้นมีการประท้วงตัดพ้อจากผู้อ่านในขณะที่กำลังตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ลงในนิตยสารสกุลไทยในขณะนั้น (จนถึงขั้นที่ แก้วเก้า ต้องออกมาเขียน นิยายนิรภัย ซึ่งเป็นนวนิยายที่ไม่มีตัวร้ายเลยออกมาเป็นนัยหยอกแกมประชดแถมให้ผู้อ่านอีกเรื่องหนึ่ง) แต่ก็ถือได้ว่าการจบ — ‘ดับ’ ลงของ ปลายเทียน — ที่ทำให้เจตนาของผู้แต่งบรรลุสมดังเป้าหมายที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ดังที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ในเบื้องหลังว่า “ตอนจบของเรื่องอาจไม่สมใจคนอ่านที่หวังว่าเรื่องนี้เป็นนวนิยายรัก เบาสมอง สนุกสนานไม่ต้องคิดอะไรมาก จบลงด้วยความสมหวังของพระเอกนางเอก เพราะในความเป็นจริงเรื่องนี้ไม่ได้เขียนขึ้นด้วยจุดประสงค์เช่นนั้น ผู้เขียนตั้งใจจะให้ท่านผู้อ่านเสียดายมากๆกับการสูญหายตายจากไปของตัวละครอย่างสร้อยสุมาลีและเพชรกล้า เผื่อจะเป็นแรงสะกิดใจว่า ในขณะที่ท่านเองก็ละเลยวรรณคดีไทย เห็นเป็นเรื่องโบราณน่าเบื่อหน่ายนั้น ท่านก็กำลังทำให้ชีวิตอันมีค่าเหล่านั้นสูญหายตายจากไปจากการรับรู้ของคนรุ่นท่านและรุ่นลูกหลานของท่านเช่นกัน” ถึงแม้ว่า ปลายเทียน จะถูก ‘ดับ’ ลงด้วยการตัดสินใจเผาสมุดข่อย ฉบับเชลยศักดิ์ ด้วยขัตติยะมานะของเจ้าสร้อยสุมาลีเอง แต่ แก้วเก้า ก็ยังไม่ลืมที่จะ ‘จุด’ ประกายเทียนแห่งโลกวรรณคดีเล่มใหม่ขึ้นเป็นการทิ้งท้ายในบทอวสาน นั่นก็คือเทียนที่ชื่อว่า “นิราศอยุธยา” ของ สุนทรภู่ ซึ่งในตัวบทได้กล่าวไว้ว่า “...ยังไม่มีใครค้นพบเรื่องนิราศอยุธยา กรมศิลปากรหรือหอสมุดแห่งชาติก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้” (จาก ปลายเทียน — หน้า 510) จึงนับว่าเป็นการจบทิ้งท้ายด้วยประเด็นที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับวงการวรรณกรรมและวรรณคดี ว่าวรรณคดีไทยที่ใครต่อใครหลายคนบอกว่าเชยและล้าสมัยนั้น ยังมี ‘อะไร ๆ’ ให้รอคนตาถึงหยิบเอามา ‘เล่น’ ได้อีกเยอะ หากให้มองในองค์รวมของวรรณกรรม นอกจาก ปลายเทียน จะทำให้ผู้อ่านได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับตัวละครในนวนิยายอย่าง เรวิทย์ เกาลัด วงศ์เมือง คณา วัจน์ และ รุจิยา ทำให้เรามีความเศร้า มีความสุข มีรอยยิ้มและคราบน้ำตาร่วมกันกับพวกเขาผ่านโลกแห่งจินตนาการ เพื่อที่จะทำให้เราได้รู้จัก ได้เข้าใจทั้งโลกแห่งความจริงและความฝัน อีกทั้งยังสามารถนำประสบการณ์จากโลกของตัวละครเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตได้ ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่หลักของนวนิยายโดยทั่วไปแล้ว ... การลุกโชติช่วงขึ้นของ ปลายเทียน เล่มนี้ ยังถือได้ว่าเป็นการกระพือขึ้นของแสงแห่งการตระหนักถึงคุณค่าของวรรณคดีไทยอย่างแท้จริงอีกด้วย สำหรับนักอ่านที่อยากร่มผจญภัยไปกับตัวละครจากเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ใน ปลายเทียน ขณะนี้ทาง สำนักพิมพ์ อรุณ ได้นำนวนิยายเรื่องเยี่ยมนี้กลับมาตีพิมพ์ใหม่อีกครั้ง ในฉบับพิมพ์ครั้งที่ 8 พ.ศ. 2562 นักอ่านท่านใดที่สนใจก็สามารถติดต่อไปทางเพจ บ้านอรุณ ได้เลย ส่วนคอภาพยนตร์ที่อยากรับชมเรื่องราวชีวิตของ ไอ้แก้ว ในฉบับตีความใหม่ผ่านภาพภาพเคลื่อนไหวแล้วล่ะก็ ขณะนี้ ขุนแผน ฟ้าฟื้น ก็ยังฉายอยู่ใน Netflix นะครับ คอภาพยนตร์สามารถรับชมได้ในความละเอียดสูงสุด ULTRAHD 4K ผ่านได้ทุกอุปกรณ์ทีวี กล่อง True ID ipad หรือ แท็บเลต ครับ ✍ขอบคุณรูปภาพ PIC 1 : Khun Phaen The Movies / PIC 2 : ภาพโดยผู้เขียน / PIC 3 : Netflix