"The Half Of It รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ" หนังรัก 1 ชั่วโมง 45 นาที ที่ขึ้นมาอยู่ใน Top 10 Netflix ประเทศไทย แสดงว่าต้องเป็นหนังดี แต่จะดีอย่างไร 10 นาทีแรก คนดูก็ตัดสินเองได้เปิดเรื่อง 10 นาทีแรกเริ่มด้วยปรัชญาความรักของเพลโต ต่อจากนั้นก็มีภาพการ์ตูนน่ารัก ๆ ที่กล่าวว่า ครั้งหนึ่งชาวกรีกโบราณเชื่อว่ามนุษย์เคยตัวติดกัน อย่างสมบูรณ์และมีความสุข แต่แล้วพระเจ้าก็จับเราแยกออกจากกัน เราจึงหลงทางและถวิลหาอีกครึ่งหนึ่งของเรา หลังจากนั้นก็หนังตัดมาที่ เอลลี่ ชู เธอเป็นเด็กสาวชาวจีนที่อยู่ใน สควอเฮมิช เธอรับจ้างเขียนบทความแลกกับเงิน ใช้ชีวิตเรียบง่าย ปั่นจักรยานไปโรงเรียน และโดนเพื่อนล้อประจำ แต่เธอก็ไม่สน เธอตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งในคาบดนตรี แอสเทอร์ เธอร้องเพลงเพราะมาก แม้แต่เด็กผู้ชาย พอล ที่วิ่งผ่านมาได้ยินยังต้องหลงรัก หลังจากนั้นเขาจึงวิ่งตาม เอลลี่ ชู เพื่อจ้างให้เธอเขียนจดหมายรัก แต่เธอก็ตอบปฏิเสธทัน แต่ภายหลังเธอคงเปลี่ยนใจช่วย เพราะครอบครัวของเธอกำลังขัดสน อยากรู้เนื้อหาเป็นยังไงต่อ ต้องติดตามชมหลังจาก 10 นาทีแรกความประทับใจแรก• ใช้ Animation เปิดเรื่องได้น่าสนใจ โดยกล่าวถึงความเชื่อเรื่องความรักของชาวกรีกโบราณ ทำให้เข้าใจง่ายและเกิดจินตนาการ ถ้าอ่านในหนังสือเราก็คงรู้สึกเฉย ๆ แต่พอสร้างเป็นภาพยนตร์ เรากลับเห็นความสร้างสรรค์ที่จับต้องได้ดีกว่าแค่ตัวหนังสือ• ดำเนินเรื่องแบบเรียบง่าย สบายตา สบายใจ โดยใช้ฉากหลักอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ที่เรียกว่า "สควอเฮมิช" (Squahamish) ซึ่งไม่มีอยู่จริงบนโลก ความจริงหนังถ่ายทำที่วอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศอเมริกา แต่สามารถจัดสร้างฉากให้เหมือนเมืองที่มีตัวตนขึ้นมาใหม่ได้ นับว่าทีมงานฝ่ายฉากเขาเก่งจริง ๆ• เป็นหนังรักฝรั่งที่สะท้อนมุมมอมของคนเอเชีย ทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับตัวเอก เอลลี่ ชู โดยเฉพาะกับใครหลาย ๆ คนที่เป็น สายฝ. (ชอบฝรั่ง) อยู่แล้วด้วย น่าจะรักเรื่องนี้เลย มันทำให้คนดูเปิดโลกทัศน์ มุมมองความรัก ทั้งกับคนเอเชียเราเอง และยังแสดงให้ชาวต่างชาติเข้าใจด้วยว่า "ความรัก" ไม่ว่าจะนิยามของชนชาติไหนก็ไม่ต่างกัน หวังว่าคนดูจะเข้าใจ เอลลี่ ชู ในฐานะตัวแทนของชาวเอเชียและชาว LGBT มากยิ่งขึ้นประเด็นที่น่าจับตา• ความรักในยุคปัจจุบัน ไม่ต้องให้พระเจ้าแยก ก็ถูก สังคมออนไลน์ (Social Network) แยกได้ ตั้งแต่เราเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี ทำให้คนเราใกล้ชิดกันมากยิ่งขี้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลก แค่มีอินเตอร์เน็ตก็สามารถติดต่อกับคนที่เรารักได้ บางทีปรัชญาความรักในยุคเพลโต อาจจะใช้กับคนยุคใหม่อย่างเราไม่ได้แล้ว ยุคนี้ความถวิลหาครึ่งหนึ่งของเราได้เปลี่ยนไป บางครั้งเราลืมความสำคัญของคนใกล้ตัว และให้คุณค่ากับคนไกล กับสิ่งที่สังคมว่าดีมากเกินไป จนทำให้ "อะไรที่ไกลก็กลับใกล้ และอะไรที่ใกล้ก็กลับไกล..."• ชีวิตที่ไม่ได้สวยหรูของชาว immegrant ผู้อพยพไปอยู่อเมริกา หลายคนเฝ้าฝันว่าการไปอยู่ต่างประเทศ เป็นสิ่งที่เหมือนฝันเป็นจริง ใคร ๆ ก็มุ่งหวังโอกาศในการก้าวหน้า ชีวิตใหม่ที่ดียิ่งขึ้น แต่ในความเป็นจริง คนที่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนนั้นล้วนต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย ไหนจะต้องปรับตัวเข้าวัฒนธรรม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยังต้องรับมือกับผู้คนอีกด้วย การแบ่งแยก (Discrimination) การเหยียบสีผิว ชนชาติ (Racism) ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับสิ่งที่ เอลลี่ ชู ถูกกระทำ การถูกหยอกล้อ เหยียดเชื้อชาติยังเป็นปัญหาในสังคมที่แก้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าโลกจะเชื่อมต่อกัน แต่ความเท่าเทียมที่แท้จริงของมนุษย์ยังไม่มีอยู่จริงปมที่น่าติดตาม• แอสเทอร์ แอบชอบ เอลลี่ ชู ไหม? ก่อนจบ 10 นาที มีฉากที่ เอลลี่ ชู ถูกเดินชนกลางโถงทางเดินและของตกลงพื้น จู่ ๆ ผู้หญิงที่ เอลลี่ ชู แอบชอบ ก็เดินเข้ามาช่วย และยังพูดคุยกับเธออีกด้วย ทั้งสองชอบหนังสือเหมือนกัน และดูมีทีท่าว่าความคิดจะเข้ากันได้ดีด้วย แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เรื่องจะเป็นยังไง• เอลลี่ ชู จะเปิดเผยความในใจกับ แอสเทอร์ อย่างไร? ปมที่น่าลุ้นที่สุด เห็นจะเป็นการเอาใจช่วย เอลลี่ ชู ให้เธอสมหวังในความรัก แต่ไม่รู้ว่าเธอเองจะรวบรวมความกล้าและเผยใจให้ แอสเทอร์ รู้อย่างไร และจะประสบผลสำเร็จไหม• พอล ผู้ชายที่จ้าง เอลลี่ ชู เขียนจดหมายรัก เรื่องจะพลิกให้เขามาชอบ เอลลี่ ชู เสียเองรึเปล่า? มันมีกลิ่นทะแม่ง ๆ อยู่นะ ว่าเรื่องอาจจะหักมุม ให้ พอล มาชอบ เอลลี่ เสียเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าหนังจะจบอย่างไร อาจไม่มีใครสมหวังเลยก็ได้สรุป หลังจากดูไป 10 นาที "The Half Of It รักครึ่ง ๆ กลาง ๆ" เป็นหนังรักที่คุ้มจะดูต่อ ไม่ใช่หนังรักหวานซึ้ง แต่เป็นรักแบบปรัชญา ลึกซึ้งและเปลี่ยมไปด้วยความหมาย แต่แฝงด้วยอารมณ์ขันและความสนุกสนานของชีวิตมัธยม น่าติดตามดูว่าความรักของหญิงที่ชื่อ เอลลี่ ชู จะนำเธอไปสู่ที่ใด "ความรักที่ไร้รูปแบบ ไม่มีกรอบของเพศ ของเชื้อชาติมาปิดกั้นเราไว้" เชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะเติมเต็มนิยามความรัก และเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างขึ้น ติดตามรับชมต่อได้ที่ netflix ขอบคุณภาพหน้าปกจาก: www.netflix.com ผู้เขียนบทความดัดแปลงจากภาพต้นฉบับขอบคุณภาพประกอบทั้งหมดจาก: netflix.com ผู้เขียนบันทึกภาพจากตัวอย่างหนังขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก: distractify.com