รีวิวหนัง "Rebel Moon - Part One: A Child of Fire" ปฐมบทลิเกไซไฟ ติดโลโก้สไนเดอร์
เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ทำเสมอ สำหรับโปรเจกต์งานสร้างของนักทำหนังระดับตำนานของฮอลลิวูด "แซ็ค สไนเดอร์" ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่มีสไตล์และความพิถีพิถันในงานออกแบบงานสร้างในผลงานตัวเองโดยแท้ และมาถึงผลงานล่าสุดของเขาใน "Rebel Moon - Part One: A Child of Fire" ที่เป็นครึ่งแรกของมหากาพย์ไซไฟที่เขาได้ทำการร้อยเรียงมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ที่ไม่ทิ้งความเวอวังอลังการและใส่การเซอร์วิสแฟน ๆ มาทุกเม็ด
Rebel Moon: A Child of Fire เล่าเรื่องราวของอาณาจักรอันสงบสุขบนขอบกาแลคซีถูกคุกคามโดยกองทัพเผด็จการ คอร่า หญิงสาวแปลกหน้าลึกลับ กลายเป็นความหวังที่ดีที่สุดในการเอาชีวิตรอดของทุกคนในหมู่บ้าน เธอได้รับมอบหมายให้ออกค้นหานักรบที่ได้รับการฝึกฝน เพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเธอในการยืนหยัดต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ของโลกแม่ (Mother World)
โดยเธอรวบรวมนักรบกลุ่มเล็ก ๆ จากผู้ที่เป็นคนต่างถิ่น ผู้ก่อความไม่สงบ ชาวนา และเด็กกำพร้าจากสงครามจากโลกต่าง ๆ ที่มีความต้องการร่วมกันในการกอบกู้และแก้แค้น เมื่อเงาของดินแดนทั้งมวลทาบทับลงบนดวงจันทร์อย่างไม่น่าเป็นไปได้ การต่อสู้เพื่อชะตากรรมของกาแล็กซีดำเนินไป และการต่อสู้นี้ทำให้กองทัพฮีโร่ชุดใหม่ก่อตัวขึ้น
หนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่และทุนสร้างน่าจะหนามาก ๆ อีกครั้งของ แซ็ค สไนเดอร์ ที่เขารับหน้าที่ดูแลในหลาย ๆ ส่วน ไม่ว่าจะกำกับหนัง ร่างโครงเรื่อง ร่วมเขียนบทหนัง และอำนวยการสร้างกับภรรยาของเขา ทำให้นี่จึงเป็นผลงานที่ใส่ความเป็นตัวของเขาเองเอาไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม ขอแค่มีสตูดิโอหนังที่ให้พื้นที่เขาได้ละเลงงานสร้างอย่างอิสระเท่านั้นก็พอ
แน่นอนว่า Rebel Moon: A Child of Fire มีกลิ่นความเป็นมหากาพย์ไซไฟแบบจัดจ้าน มาในโทนและสไตล์แบบเดียวกับพวกหนัง Star Wars อะไรทำนองนั้นเลย เพียงแต่มันเป็นการสำรวจอวกาศและโลกใหม่ ๆ ที่รอคอยให้คนดูได้ออกไปผจญภัยด้วย ทางด้านงานสร้างถือว่าทำได้ดีแทบจะทุกเม็ด งานละเอียด งานออกแบบยังมีลายเส้นความเป็นสไนเดอร์อยู่เต็มไปหมด แต่ว่า...
ในท้ายที่สุด Rebel Moon: A Child of Fire ได้กลายเป็นเพียงลิเกโรงใหญ่แบบฉบับของแซ็ค สไนเดอร์ ที่เหมือนสร้างออกมาสนองความต้องการส่วนตัวของเขาเท่านั้นแหละ เขาจะรู้หรือไม่ว่าสไตล์การทำหนังของเขาที่ไม่พัฒนาขึ้นเลย มันแทบจะไม่เวิร์กกับการหยิบมาใช้ในการร้อยเรียงหนังในปัจจุบันนี้อีกแล้ว ทำให้ทุก ๆ ส่วนของ Rebel Moon เรื่องนี้เต็มไปด้วยความเชย ความซ้ำซาก และความพยายามให้ดูยิ่งใหญ่
หากว่าคุณเป็นแฟนหนังของแช็ค สไนเดอร์ แน่นอนเลยว่าลายเซ็นเด่นชัดของเขาก็คือ 'แอคชั่นแบบสโลโมชัน' แล้วเขาก็ยังคงลีลานี้เข้ามาในหนังเรื่องนี้อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งมันกลายเป็นองค์ประกอบที่ชวนขัดจังหวะและอารมณ์ของหนังไปอย่างน่าเสียดาย การเน้นฉากด้วยการลากให้สโลโมชันลงไป เป็นเทคนิคที่ค่อนข้างล้าสมัยไปแล้ว สวนทางกับทิศทางการสร้างหนังในยุคนี้ที่เน้นความกระชับ
แล้วเมื่อมาผนวกกับโครงเรื่องของหนัง ที่พยายามปูทางออกมาให้เป็นมหากาพย์แบบ Star Wars แต่ยังค่อนข้างห่างชั้นกันพอประมาณ เรื่องราวและการเล่าเรื่องของหนังก็ยังติดความสไนเดอร์แบบเดิม ๆ อยู่นั่นแหละ เขาชอบทำหนังแอคชันที่มีตัวละครหลักเป็นผู้หญิงนักสู้ แล้วใส่ความชายแทร่ลงไปในตัวละครเลว ๆ ประกอบด้วยบรรยากาศซ้ำเดิมที่เดาทางออกค่อนข้างง่ายมาก
กลายเป็นว่าองค์ประกอบหลาย ๆ ส่วนใน Rebel Moon: A Child of Fire เหมือนหยิบเอาผลงานเก่า ๆ ของสไนเดอร์มาปรุงใหม่ มีความเป็น Sucker Punch กลิ่นอายแบบ Watchmen หน่อย ๆ ด้วยลีลาเหมือนสมัยทำหนังกับดีซี แต่อยู่บนพื้นฐานของความวัลลาบีอยากจะสร้างมหากาพย์อวกาศแบบเด็ด ๆ แต่ท้ายที่สุดทำได้แค่เพียงลิเกเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง
Rebel Moon: A Child of Fire เป็นหนัง 2 ชั่วโมงนิด ๆ ที่แอบน่าเบื่อไปด้วยซ้ำ หนังมีส่วนประกอบที่ไม่จำเป็นใส่เข้ามาเยอะเกินไป แม้ว่าองค์ประกอบงานสร้างต่าง ๆ จะทำออกมาดูดีใช้ได้เลย แต่กลับไม่เวิร์กกับการเป็นหนังในยุคปี 2023 ย่างเข้าสู่ 2024 เช่นนี้ โชคดีที่มันเป็นหนังสตรีมมิงเท่านั้น เพราะเชื่อเหลือเกินว่าถ้าหนังเอาไปเข้าฉายโรงแล้วละก็ น่าจะเป็นความอัปยศทางด้านรายได้และขาดทุนมหาศาลแน่ ๆ
มาถึงในส่วนการแสดงบ้าง คงจะบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า...ธรรมดาไปหน่อย ทีมนักแสดงอาจจะไม่ใช่ระดับเกรดเอ-แถวหน้าของวงการมากนัก แต่เมื่อนำมากองรวมกันไว้บนหน้าจอ กลายเป็นว่าเสน่ห์ของนักแสดงแทบจะไม่มี "โซเฟีย โบเทลล่า" แทบจะแบกหนังเรื่องนี้เอาไว้ด้วยร่างน้อย ๆ ของเธอไม่ได้ แม้การแสดงจะไม่ได้แย่อะไร แต่กลับยังไม่น่าค้นหา ไม่น่าหลงใหล เหมือนยังมีอะไรบางอย่างปิดกั้นในทัศนคติคนดูอยู่
ขณะที่แคสติ้งอื่น ๆ ก็ค่อนข้างจืดชืดไปนิด ไม่ว่าจะเป็น "ชาร์ลี ฮันแนม", "มีคีล เฮยส์มัน", "ดิจิมอน ฮาวน์ซู" หรือ "แบดูนา" ก็แทบจะไม่ช่วยขับเสน่ห์ของหนังออกมาได้เท่าไหร่ มีเพียง "เอ็ด สเครน" ในบทวายร้ายหลักของเรื่อง ที่ได้บทที่ส่งเสริมการแสดงได้เป็นอย่างดี กลายเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยมิติและลูกเล่น ถึงการดีไซน์คาแรกเตอร์นี้มันตะทำออกมาด้วยรสชาติแปล่ง ๆ อยู่มากก็ตาม
ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว Rebel Moon: A Child of Fire เป็นหนังที่ค่อนข้างให้ผลลัพธ์ที่น่าผิดหวัง ทั้งที่ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรเลยก็ตาม หนังมีดีในตัวเองแต่กลับล้มเหลวในการขับเสน่ห์ออกมาให้เกิดประสิทธิพลที่น่าพึงพอใจ เป็นมหากาพย์ที่ดูพยายามมาก ๆ แต่ไมทำให้คนดูโหยหา บวกกับเทคนิคเชย ๆ ของผู้สร้างที่หยอดเข้ามาแบบไม่เข้ากับยุคสมัยอีกแล้ว มันอาจจะเป็นอีกหนึ่งความล้มเหลวที่ต้องทำใจยอมรับของแช็ค สไนเดอร์
แอบเป็นกังวลเหลือเกินว่า Rebel Moon อีกครึ่งที่เหลือ ซึ่งจะออกฉายตามมาในช่วงไตรภาคที่ 2 ของปี 2024 จะยังคงมีคนดูเฝ้ารอดูอยู่หรือไม่ ในเมื่อปฐมบทร้อยเรียงออกมาได้จำเจและไร้เสน่ห์ได้เพียงนี้ จัดได้ว่าเป็นหนังที่รู้สึกเสียดายของและเสียดายเงินที่ลงทุนไปโดยแท้ เพราะมันยังค่อนข้างห่างไกลคำว่ามหากาพย์อยู่ไกลโขนัก...
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Rebel Moon - Part One: A Child of Fire บุตรแห่งเปลวไฟ
- ประเภท: แอคชัน / ไซไฟ / ผจญภัย
- ผู้กำกับ: แซ็ค สไนเดอร์
- นำแสดงโดย: โซเฟีย โบเทลล่า, ดิจิมอน ฮาวน์ซู, เอ็ด สเครน, มิเคียล ฮูสมัน, แบดูนา
- ความยาว: 133 นาที
- กำหนดฉายในไทย: 22 ธันวาคม 2023 (ที่ Netflix)
Movie.TrueID METRIC: Rebel Moon - Part One: A Child of Fire บุตรแห่งเปลวไฟ
- ภาพรวม
⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰✰ (5/10) - การเล่าเรื่อง
⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰✰ (5/10) - การแสดง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10) - เทคนิคงานสร้าง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10) - บทภาพยนตร์
⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰✰✰ (4/10)
คุณสามารถรับชม Netflix ได้ง่าย ๆ จากกล่อง TrueID TV ตอบโจทย์ความบันเทิงได้ครบ!
-------------------------------------
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa