รีวิวหนัง "Bad Boys: Ride or Die" ยำระห่ำเข้าสู่ภาค 4 กับรสชาติเดิม แต่ไม่ทิ้งลายความมันส์

และแฟรนไชส์คู่หูขวางนรกก็ยังคงดำเนินสานต่อลมหายใจกันไปต่อ แม้ว่าจะเริ่มตอกย้ำมุมมองสะท้อนถึงสังขารที่ร่วงโรยของพวกเขามากยิ่งขึ้น แต่แบดบอยส์คู่หูนี้ยังบู๊ไหว กลับมาใน "Bad Boys: Ride or Die คู่หูขวางนรก: ลุยต่อให้โลกจำ" หนังภาคที่ 4 ของตระกูลแบดบอยส์ ที่ต้องบอกเลยว่าอะไร ๆ มันจะยังรักษามาตรฐานเอาไว้ได้ดีคงเดิม อาจจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่กลับสร้างพลังความมันส์เอาไว้ในระดับที่บันเทิงเสียจริง!

Bad Boys: Ride or Die เมื่อเจ้านายเก่าของสองตำรวจไมอามี่ ไมค์ และ มาร์คัส ถูกป้ายสีว่าทำงานรับใช้ขบวนการค้ายาเสพติด ทั้งสองจึงต้องออกแอ็คชั่นเพื่อล้างมลทินให้กับอดีตเจ้านาย แต่ระหว่างสืบคดี ไมค์และมาร์คัสกลับไปเหยียบตาปลาเจ้าพ่อมาเฟีย ที่วางแผนชั่วทำให้ทั้งคู่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเบอร์ใหญ่ที่ทางการต้องการตัวเสียเอง ตำรวจสายบู๊อย่างไมค์และสายซ่าอย่างมาร์คัสกลับกลายเป็นผู้ร้ายที่ต้องหนีและดิ้นรนคลี่คลายคดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง

• "Bad Boys: Ride or Die" มีฉากเครดิตท้ายเรื่องหรือไม่ เช็กคำตอบได้ที่นี่!

"อาดิล เอล อาร์บี" กับ "บิลาล ฟาลลาห์" คู่หูผู้กำกับที่เคยปังสุด ๆ มาจากการสรรค์สร้างผลงานและชุบชีวิตแบดบอยส์กลับมาได้สำเร็จเมื่อภาคที่แล้ว ภาคนี้ก็ยังคงกลับมาสานต่องานที่พวกเขาเคยทำมันได้ปังอีกหน แล้วก็ดูเหมือนว่าอะไรต่าง ๆ ก็ดูเข้าที่เข้าทางและเข้ามือพวกเขามายิ่งขึ้น ด้วยการหยิบใช้วัตถุดิบและแวดล้อมที่คุณเคยมาใช้ได้อย่างคุ้มเคย เล่นเป็นเล่น จริงเป็นจริง

วิสัยทัศน์ของผู้กำกับคู่นี้ยังคงซึมลึกเข้าไปถึงแก่นของคำว่าแบดบอยส์ได้เป็นอย่างดี พวกเขารู้ดีว่าคนดูต้องการดูอะไร อยากจะเห็นอะไร และจัดการกับคู่หูตัวละครหลักของเรื่องแบบไหน และนั่นจึงเป็นโจทย์ที่ดูจะไม่ยากแต่ก็ไม่ได้ง่ายในการร้อยเรียงและละเลงความเป็นหนังแอคชันออกมาแบบระห่ำปล่อยก๊ากแบบไม่ให้ได้หยุดหายใจเกือบ 2 ชั่วโมงเต็ม ที่อัดแน่นไปด้วยการเซอร์วิสแฟน ๆ และอีสเตอร์เอ้กมากมายที่ชวนตบเข่าฉาด

แน่นอนว่าผู้สร้างต่างเข้าใจดีกว่า Bad Boys: Ride or Die เป็นหนังดำเนินเรื่องราวมายาวนานระดับ 3 ทศวรรษแล้ว ดังนั้นภาคนี้จึงถือโอกาสเป็นการสดุดีความยิ่งใหญ่ของคู่หูตำรวจคู่หูแบบสุดจึ้ง ผสมผสานห้วงจังหวะอารมณ์ได้ค่อนข้างเป็นมืออาชีพ ถึงหลาย ๆ องค์ประกอบจะไม่ใช่อะไรใหม่เลย เดาทางได้ มองสถานการณ์ออก แต่มันคือสูตรสำเร็จความบันเทิงที่ตอบสนองแฟนเดนตายได้อย่างถ่องแท้

"วิล สมิธ" กับ "มาร์ติน ลอว์เรนซ์" ก็ไม่ต้องบรรยายอะไรเยอะก็ได้แล้วมั้ง เพราะพวกเขาจับคู่เล่นกันบทบาทนี้ได้อย่างเข้าขามาเป็น 30 ปี บัดนี้เขากลายมาเป็นลุง ๆ ในหนังเดือดที่ยังมีช่องว่างให้พวกเขาได้โชว์ความป๋าและความเท่อยู่ได้ดี การเข้าขาอย่างเข้ากันของทั้งคู่นี้ก็คือเส่น่ห์หลักโดยแท้ ที่คนดูต้องการมาเสพและเห็นมิตรภาพอันอย่างนานของพวกเขา ความผูกพันที่ต่างคุ้นเคยกับผู้ชมเป็นอย่างดี

แล้วภาคนี้ก็ถือว่ายังพกตัวละครสมทบมาแบบเยอะไปหมด ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ โผล่มาให้ตื่นตาตื่นใจกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็น "เปาโล นูเนซ", "เจคอป สชิปิโอ", "วาเนสซา ฮัดเจนส์" และ "อเล็กซานเดอร์ ลุดวิก" ที่มาร่วมแจมในฐานะทีมคนสำคัญของเรื่อง เสริมด้วยหน้าใหม่ที่มาเป็นวายร้าย "อีริก เดน" หรือ "เอียน กรัฟฟัดด์" ที่นับว่าเข้ามาเป็นสีสันได้ดี แม้ว่าบทของพวกเขาแทบจะไม่มีมิติอะไรมีช่องว่างได้เกิดเลยก็ตาม

ขณะที่ "โจ แพนโตลิอาโน" ยังกลับมาปรากฏตัวอีกหนในฐานะตัวละครที่น่าจดจำและคิดถึงที่สุดของหนังชุดนี้ อย่าง กัปตันฮาวเวิร์ด นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวละครดั้งเดิมที่อยู่มาตั้งแต่เริ่มต้น และยังถูกนำมาขับเคลื่อนเป็นสตอรีหลักที่ช่วยกระตุ้นต่อมความคิดถึงอดีตให้กับหนังชุดนี้ได้อย่างดีด้วย

ทางด้านงานสร้างฉากแอคชันและสเปเชียลเอกเฟกต์ใด ๆ ของ Bad Boys: Ride or Die ถือว่ายังทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานของแบดบอยส์พึงจะมี ยังตอบโจทย์คนดูได้อย่างเต็มที่ในสิ่งที่อยากจะถ่ายทอดออกมาแบบฉบับหนังซัมเมอร์ฮอลลีวูด แม้ว่าในส่วนงานตัดต่อของหนังภาคนี้จะยังมีจุดที่ออกจะรสชาติแปล่ง ๆ ไปอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่มาเป็นตัวทำให้หนังสะดุดแต่อย่างใด

ดังนั้นโดยสรุปแล้ว Bad Boys: Ride or Die ก็ยังคงเป็นหนังแอคชันที่ให้ความซื่อสัตย์กับคนดูดีที่อยู่เช่นเคย พวกเขารู้ดีกว่าคนดูอยากเห็นอะไร และหยิบจุดนั้มาขยี้มาออกมาได้โดนใจโดนจุดได้เป็นอย่างดี ถึงโครงสร้างในส่วนของเรื่องราวแทบจะไม่มีอะไรใหม่เลยก็ตาม แต่ก็ยังเต็มไปด้วยจังหวะความสนุกที่คุ้นเคย ดูง่าย ย่อยง่าย และประทับใจได้ง่าย ๆ เป็นหนังเพื่อความบันเทิงที่ได้ความบันเทิงกลับไปได้ดีโดยแทร่!