Bad Boys for Life คู่หูขวางนรก...ในวันที่โลกเปลี่ยนไปแล้ว by Kanin the Movie
รีวิวหนังใหม่ Bad Boys, Bad Boys for Life
สารภาพตามตรงว่าตอนได้ยินโปรเจ็กต์ภาคต่อของ Bad Boys แล้วรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้วางใจเท่าไหร่ จนกระทั่งตอนได้ดูตัวอย่างก็ยังรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูกจนกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ประจำปี 2020 ที่เราเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอยากดูหรือสนใจอะไรเป็นพิเศษ (อาจจะเพราะช่วงปี 2019 ที่ผ่านมามีหนังหลายๆเรื่องที่สานต่อภาพยนตร์ชุดดังแล้วไม่โอเคอยู่พอสมควร)
การกลับมาของ Bad Boys for Life
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หลังจากได้ดูจบจริงๆต้องยอมรับเลยว่า "Bad Boys for Life" เป็นภาพยนตร์ที่มีของ เป็นการสานต่อที่ถูกที่ถูกทางและมีหลายๆ อย่างที่เวิร์คกว่าสองภาคก่อนหน้าของ ไมเคิล เบย์ อยู่พอสมควร การหยิบเอาคู่หูโหดมันส์ฮาอย่าง ไมค์ และ มาร์คัส กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในโลกปัจจุบันดูเป็นโจทย์ที่เสี่ยง แต่หนังก็สามารถพิชิตทั้งหมดไปได้อย่างงดงามและน่าประทับใจ
สิ่งแรกที่ Bad Boys for Life โดดเด่นคือดราม่าที่แข็งแรง หนังหยิบเอาบรรยากาศ คอนฟลิกต์ และความสัมพันธ์ของ ไมค์ และ มาร์คัส จากสองภาคก่อนหน้ามานำเสนอใหม่ในเรื่องราวที่เข้มข้นและเข้าถึงอารมณ์มากขึ้น ทั้งอาศัยระยะเวลาการเดินทาง 25 ปีของภาพยนตร์ รวมไปถึงการหยิบยื่นความเป็นมนุษย์ให้กับพวกเขาในแบบที่เราไม่เคยได้เจอจาก Bad Boys มาก่อน
Bad Boys ภาคแรก
ความเป็นมนุษย์ในภาคนี้ไม่เพียงแต่พาผู้ชมไปพบกับชีวิตประจำวันของพวกเขาทั้งตอนอยู่บ้านหรือในสถานีตำรวจ แต่ความเป็นมนุษย์ในหนังคือการเพิ่มเลือดเนื้อ จิตใจ และความรู้สึกให้กับพวกเขา ไมค์ และ มาร์คัส ในภาคนี้ต่างต้องแบกรับปัญหาชีวิตในหลายๆ มิติ การที่พวกเขาแก่ตัวลง ปลายทางของการเกษียณเริ่มชัดเจนขึ้นก็เป็นหนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจ
แต่สิ่งที่หนังทำหน้าที่ได้ดีคือการเพิ่มความผูกพันให้กับพวกเขา เราจะยังได้เห็นบทสนทนาสุดวายป่วงระหว่างพวกเขาแบบจัดเต็มเช่นเคย แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือซีนอารมณ์ที่ต่อเติมมิติความเป็นมนุษย์ เหตุการณ์ที่นำมาซึ่งความเศร้าและความเจ็บปวด ซึ่งอาจจะเผลอทำให้ใครบางคนเสียน้ำตาได้เลย
ซึ่งทิศทางดังกล่าวแทบจะคนละขั้วกับ Bad Boys II (2003) โดยสิ้นเชิง กล่าวคือ ไมเคิล เบย์ ได้เปลี่ยนจากหนังชีวิตตำรวจแบบภาคแรกให้กลายเป็นภาพยนตร์วินาศสันตะโรแบบเต็มสูบ เต็มไปด้วยฉากแอคชั่นขนาดยาวหลายสิบนาที เรียงต่อกันจนกลายเป็นความทรมานทางสายตาและประสาทอยู่ไม่น้อย ซึ่ง Bad Boys for Life ได้นำทั้งสองภาคมาบาลานซ์ใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม มันมีเส้นเรื่องดราม่าที่เข้มข้น ไม่ได้ทีเล่นทีจริง นำไปสู่การเติบโตและเปลี่ยนแปลงของตัวละครที่เห็นได้อย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกัน หนังก็มีซีเควนซ์แอคชั่นระเบิดเถิดเทิงให้ดู เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในปริมาณเดียวกับภาคสองเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ส่วนตัวค่อนข้างโอเค อาจจะไม่ได้เป็นอะไรที่ใหม่สำหรับการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ แต่เป็นทิศทางที่ดีสำหรับ Bad Boys ไม่น้อย โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้สร้างต้องการจะสานต่อเรื่องราวจากนี้ไปอีก (แม้ ไมค์ และ มาร์คัส จะบอกว่า “One Last Time” ไปแล้วก็ตาม)
Bad Boys ภาค 2
นอกจากนี้ สิ่งที่ Bad Boys for Life พยายามเล่าอยู่ตลอด 2 ชั่วโมงของเรื่องคือการพูดถึง “โลกปัจจุบัน” การดึงเอา ไมค์ และ มาร์คัส กลับมาโลดแล่นในปัจจุบัน พร้อมกับอายุที่แก่ตัวลงคือสิ่งที่หนังไม่ได้มองข้าม ความโรยราของร่างกาย เทคนิคการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป คือสิ่งที่หนังใช้ในการขยี้มุกตลกอยู่ตลอดเรื่อง ควบคู่ไปกับการมาของทีมงานชุดใหม่อย่าง “AMMO” หน่วยพิเศษที่ใช้เทคโนโลยีปัจจุบันเข้ามาสืบสวนและปฏิบัติหน้าที่ โดยมีสมาชิกเป็นหนุ่มสาวรุ่นใหม่
เพราะความเก่า-ความใหม่นี่เองที่ช่วยขับเคลื่อนภาพยนตร์ให้ออกมาสด ผ่านเรื่องของการเคารพวิธีทำงานที่แตกต่างกัน ไม่ใช่การพยายามจะเอาชนะ แต่เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งทีมนักแสดงชุดใหม่ที่เข้ามาแจมก็น่าสนใจไม่น้อยเลย อาจจะไม่ถึงกับมีแพรวพราว แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นส่วนที่ชุดรั้งภาพรวมของหนังเท่าไหร่ ที่โดดเด่นและน่าจับตาจริงๆ คือ เปาโล นูเนซ ในบท ริต้า หัวหน้าทีม AMMO ที่ทั้งสวย เก่ง และมีเสน่ห์มากๆ นอกเหนือจากนั้นก็คงเป็นนักแสดงเซอร์ไพรซ์ที่ทุกคนต้องไปเจอในโรงภาพยนตร์ด้วยตัวเอง
จริงๆ เราจะรู้สึกว่าตัวร้ายใน Bad Boys ที่ผ่านมามันมีเพื่อรับใช้ฉากแอคชั่นหรือตัวละคร ไมค์ และ มาร์คัส อย่างเดียว แต่ในภาคนี้ต้องยอมรับว่าเขาตั้งใจเขียนตัวละครนี้อย่างจริงจังและตั้งใจพอสมควร ผูกเรื่องกับประเด็นและตัวละครต่างๆ นานาอย่างน่าสนใจ อาจจะไม่ถึงกับสดใหม่นัก และก็ไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมายไปไกลมาก แต่ก็เป็นตัวร้ายที่ชวนสนุกและน่าติดตามกว่าภาคที่ผ่านมาอย่างชัดเจน เราได้สัมผัสเลือดเนื้อของพวกเขามากนั้น ได้เห็นแรงจูงใจมากกว่าความรุนแรง ความบ้าคลั่ง และความชั่ว ซึ่งเป็นมิติที่น่าสนใจของ Bad Boys เลย
เพราะบางทีการที่จะมีเพียงแค่ตัวละครเอกที่แข็งแรงอาจไม่เพียงพอ อย่างน้อยๆ เราก็ได้เห็นผลลัพธ์ในภาคนี้ ที่แม้สเกลแอคชั่นจะเล็กลงแต่ความใหญ่โตทางอารมณ์และความรู้สึกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จริงๆ พาร์ทนี้อยากจะเขียนถึงเยอะๆ แบบจัดเต็ม แต่เขียนยังไงก็จะต้องเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์แน่นอน ไหนๆ ตัวอย่างก็พยายามไม่พูดถึงงั้นไปชมไปเอนจอยกันเองดีกว่าละกัน
โดยรวม Bad Boys for Life เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เราประทับใจพอสมควร หนังหยิบส่วนที่ดีจากภาคก่อนหน้ามาบาลานซ์กันได้อย่างกลมกล่อม ผสมผสานโลกปัจจุบันกับความ Old School จนออกมาเป็นหนัง แอคชั่น-คอมเมดี้ ที่ลงตัว การผลักตัวเองออกจากอดีต ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของหนังคือสิ่งที่น่าสนใจ อาจจะไม่ใช่อะไรใหม่แต่มันให้ทิศทางที่ดีกับหนังไม่น้อย
รวมไปถึงพาร์ทดราม่าก็ทำงานกับเรื่องได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพิ่มความเป็นไปได้ที่ภาพยนตร์ชุดนี้จะมอบสิ่งใหม่ๆ ให้กับผู้ชม ใครที่ชื่นชอบ ไมค์ และ มาร์คัส อยู่แล้วไม่ควรด้วยประการทั้งปวงเพราะหนังผลักพวกเขาไปสู่มิติใหม่ที่ดีมากๆ และเช่นกัน ใครที่ชอบผลงานบันเทิง แอคชั่นมันส์ๆ คอมเมดี้ฮาๆ หนังเรื่องนี้ตอบโจทย์ได้ในระดับที่ดีเลยทีเดียว
----------------------------------------------------