เวียร์ ศุกลวัฒน์ ครั้งแรกก้าวสู่จักรวาลขุนพันธ์ กับบท “เสือฝ้าย” วัยหนุ่ม ใน "เสือ"

นักแสดงหนุ่มหล่อมาดเท่ “เวียร์ ศุกลวัฒน์” สั่งสมประสบการณ์และความสามารถทางด้านการแสดงมาอย่างเหลือล้นจากผลงานละครและภาพยนตร์รวมกันมากกว่าครึ่งร้อย การันตีคุณภาพด้วยการกวาดรางวัลด้านละครมาแล้วแทบทุกสถาบัน ทั้งโทรทัศน์ทองคำ, เมขลา, ไนน์เอ็นเตอร์เทน และนาฎราช
พีกสุดด้วยการคว้ารางวัล “นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม” จากภาพยนตร์ดราม่าน้ำดีเรื่อง “มะลิลา” (2561) จากทุกสถาบันทั้งสุพรรณหงส์, ชมรมวิจารณ์, คมชัดลึก, Bioscope Awards, Starpics Thai Film Awards และสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย
นอกจากนี้ เขายังมีผลงานภาพยนตร์คุณภาพตามมาอีกหลายเรื่องอาทิ “ดิว ไปด้วยกันนะ” (2562), “บ้านเช่า..บูชายัญ” (2566), “มนต์รักนักพากย์” (2566) และ “Bangkok Breaking ฝ่านรกเมืองเทวดา” (2567)
ล่าสุด เขาพร้อมก้าวเข้าสู่ “จักรวาลขุนพันธ์” กับบทบาท “เสือฝ้าย” วัยหนุ่ม พี่ใหญ่ของกลุ่มที่ทุกคนต่างเคารพและเกรงขามฝีมือและอาคมทรงอานุภาพในภาพยนตร์แอ็กชันไทยโคตรมันส์ส่งท้ายปีเรื่อง “เสือ” (2568) ที่จะย้อนต้นกำเนิดและการเติบโตแห่งความยิ่งใหญ่เกรียงไกรในดงเสือของตัวละครนี้ในมุมที่ยังไม่เคยถูกเล่ามาก่อน
จุดเริ่มต้นที่ได้มาร่วมโปรเจกต์ “เสือ”
จริงๆ แล้วผมเคยร่วมงานกับ “พี่โขม” (ก้องเกียรติ โขมศิริ - ผู้กำกับ) มาก่อน (ซีรีส์และภาพยนตร์ “Bangkok Breaking”) แล้วก็ติดตามผลงานพี่โขมมาตลอดรวมถึง “ขุนพันธ์” ผมเคยคุยเล่นกับแก หยอดมาตลอดว่าถ้าพี่มีภาค 2 ภาค 3 ไรงี้ พี่ก็เอาผมไปเล่นได้นะ แล้วแกก็ตอบขำๆ เหมือนกันว่า “พี่เวียร์” พูดแล้วนะ ก็เป็นไดอะล็อกที่เราคุยเล่นกัน ไม่คิดว่าวันหนึ่งเขาจะติดต่อมาจริงๆ แกบอกเวียร์มันมีว่ะ มันเป็นโปรเจกต์ใหม่ที่เราจะเล่าผ่านเรื่องของ “เสือ” อยากจะให้พี่เวียร์มาเล่นเป็น “เสือฝ้าย” ในช่วงวัยหนุ่ม พอดูบทแล้วคุยกันนิดหน่อยก็ตอบเซย์เยสเลย เพราะว่าเราคุ้นเคยการทำงานกันอยู่แล้ว
เกิดเป็นนักแสดงชายสักชาติหนึ่ง ถ้าได้เล่นหนังแอ็กชันมันส์ๆ สักเรื่องคงจะสมศักดิ์ศรี ซึ่งบท “เสือฝ้าย” นี้เคยเล่นเอาไว้โดย “ผู้พันเบิร์ด” (วันชนะ สวัสดี) ซึ่งพี่เขาทำได้ดีจนเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว รู้สึกว่ามันสนุก มันไม่ได้มีแค่เรื่องของแอ็กชัน ยิงกัน ระเบิดกัน หรือการต่อสู้ด้วยคาถาเวทมนตร์อย่างเดียว แต่มันรวมสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของยุคนั้นว่าเขาทำอะไรกัน ความสัมพันธ์ของตัวละครมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีเลเยอร์ของตัวละคร มันเป็นสไตล์พี่โขมเลยที่ชอบเล่าด้วยการสอดแทรกอะไรหลายๆ อย่างลงไป สนุกดีครับ
ความหมายของการเป็น “เสือ” ในยุคเก่า
“เสือ” มันเป็นเรื่องของยุคๆ หนึ่งที่เป็นยุคของเขา ชาวบ้านจะบอกว่าเสือเป็นโจร สมัยก่อนชุมโจรที่มีอำนาจมากมายอยู่ในภาคกลาง ตอนนั้นด้วยบ้านเมืองด้วยรัฐบาลในมุมมองของผม มันก็สีเทาเหมือนกันนี่แหละ แต่รัฐมันเทาได้เหนือกฎหมาย ในขณะที่เสือกลายเป็นฝั่งผิดกฎหมาย ทุกฝ่ายในยุคนั้นก็ต้องสร้างอำนาจขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง ขึ้นอยู่กับบารมี ขึ้นอยู่กับการขยายอำนาจของตัวเองออกไป สำหรับผม มองว่าคนที่มีอำนาจจะทำอะไรก็ได้ แต่พอมีอำนาจมากไปก็จะมีคนที่ต้องการล้มอำนาจนั้น สำหรับในยุคนั้นนะครับ
เคยได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับ “เสือภาคกลาง” ที่มีอยู่จริงมาก่อนบ้างไหม เชื่อไหมว่ามีเสือที่ต้องใช้คาถาต่อสู้กันแบบนี้ด้วย
เคยได้ยินมาบ้าง แต่ผมฝั่งเด็กอีสานส่วนใหญ่จะมีเรื่องของ “นายฮ้อย” มากกว่า เราอาจจะไม่ค่อยได้ยินเรื่องแบบ “เสือ” ที่เป็นโจรปล้นของภาคกลาง เพราะต่างจังหวัดมันจะเป็นอีกฟีลหนึ่งแบบปล้นควายอะไรอย่างนั้น ผมไปหาหนังสือที่เป็นชีวประวัติอ่านบ้าง แต่กับหนังเวอร์ชันนี้มีการดัดแปลงให้มันสนุกและไม่ได้อิงประวัติศาสตร์เต็มๆ
ทุกคนทราบกันดีว่าคาถาที่ “เสือฝ้าย” ใช้เป็นอาคมหลักคือ “คาถาตวาดหิมพานต์-วา โธ โน อะ มะ มะ วา วา” กระทึบเท้าทุกคนก็ปลิวกันไปหมด ศัตรูหรือมิตรใครก็ตามที่เราต้องการให้โดนอาคมก็จะปลิวกระจัดกระจายกันหมด เป็นอาคมที่ทุกคนกลัว ตอนเล่นผมก็เขินนะ ด้วยความที่ห่างจากการแสดงแนวแอ็กชันไปนานมาก แต่ถ้าเราเริ่มเชื่อในคาแร็กเตอร์นี้ มันก็จะไม่เขิน แถมรู้สึกว่ามันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
ส่วนเรื่องความเชื่อ ผมว่าเราต้องเชื่อว่าสิ่งที่เราทำมันถูก เราไม่รู้หรอกเพราะไม่ได้เกิดในยุคสมัยนั้น เราได้ฟังเฉพาะเรื่องเล่าก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจและก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ “พี่โน่” (เสือดำ) บอกว่าเราต้องเชื่อบ้างเพื่อให้มันสนุกขึ้น เพราะคาถามันดูเวอร์ๆ แต่กับเรื่องนี้ผมก็เชื่อนะ ผมว่าคนไทยมีความเชื่อเรื่องพวกนี้ ไม่งั้นเราจะมีรอยสักลงยันต์อะไรกันขนาดนี้เหรอ ไทยเรามีคาถา มีมนตร์ มีเรื่องมากมายให้เราเห็น
จนทุกวันนี้ ถ้าผมไม่เชื่อเลยเวลาเล่นมันจะเขิน ผมว่าในสมัยก่อนเขาอาจจะไม่ได้มีคาถาที่มันทำได้จริงแบบในหนัง ในหนังมันมีอรรถรส มันเพื่อความสนุก การแสดงพลังออกมาจากคาถาที่เราท่อง มันเติมความน่าเกรงขาม ถ้าเราเชื่อ สายตา การท่องคาถา และท่าทางของเราจะไม่ดูตลก ไม่เขิน
เรื่องราวของ “เสือ”
ในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง มันก็เป็นเรื่องราวของของ “4 เสือ” ที่โด่งดัง ทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นช่วงของการแบ่งพรรคแบ่งพวกของรัฐบาล ต่างคนก็แก่งแย่งชิงดีกันทั้งเรื่องของอำนาจ เรื่องของเงินทอง ไม่มีรัฐบาลไหนสนใจประชาชน เกิดความยากลำบากไปทั่ว ด้วยความที่ “เสือฝ้าย” เขามีอุดมการณ์ เขามีพรรคพวก มีอำนาจ เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง มันก็เลยเกิดเรื่องของการรวมเสือเพื่อที่จะมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดนี้ แต่เสือแต่ละตัวมันก็มีอุดมการณ์ที่ต่างกัน มีที่มาที่ไปและความคิดไม่เหมือนกัน การที่จะเข้าล้มรัฐในครั้งนี้ก็เลยเกิดความชุลมุน ไม่รู้พวกไม่รู้ฝ่ายกันไปหมด ประชาชนยังจะได้รับการดูแลไหม อุดมการณ์ของเสือแต่ละตัวจะเปลี่ยนไปไหม แล้วใครที่จะเป็นคนล้มฝ่ายปกครองที่มากอำนาจของ “จอมพล” ได้ ต้องมาดูกันครับ
บทบาท-คาแรกเตอร์
“เสือฝ้าย” ในวัยหนุ่ม เขามีความน่าเกรงขาม ภายนอกที่ทุกคนมองคือ “พี่ใหญ่” เป็นเสือที่ยิ่งใหญ่มากในยุคนั้น แต่ในเรื่องนี้ไม่ได้มาโชว์ความโหดความดุของเสือฝ้ายเพียงอย่างเดียว มันยังมีอีกมุมหนึ่งของเสือฝ้ายที่ทุกคนไม่เคยได้เห็นจากใน “ขุนพันธ์” เป็นการเล่าเรื่องในวัยหนุ่ม เขามีความอ่อนโยนที่มันค่อนข้างคอนทราสต์มากกับสิ่งที่เราเคยเห็น ทำไมเขาถึงเป็น “ผู้ใหญ่ฝ้าย” หรือเป็น “ครูฝ้าย” ของเด็กๆ มันยากเหมือนกันสำหรับการรับบทและตีความตรงนี้ คนเรามันมีหลายบุคลิก มีหลายหัวหลายหมวก พอเขาต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อให้คนเชื่อ ให้คนนับถือ เขาก็สามารถที่จะเป็นอีกคนคนหนึ่งได้ สิ่งเหล่านี้มันจะเล่าในคาแร็กเตอร์ของเสือฝ้ายในโปรเจกต์นี้
ตัวเสือฝ้ายเองด้วยความเป็นพี่ใหญ่สุด เวลาเขาปล้นก็จะไม่ได้เน้นไปปล้นไปฆ่าคน แต่เขาเน้นอำนาจ เน้นปกครอง เพราะมันเหนือกว่าการปล้นไปวันๆ เขารู้ว่าการปล้นแบบนั้นมันไม่มีจุดจบ มันไม่ได้ทำให้เขามีอำนาจที่จะปกครองใครมากขึ้น แล้ววิธีการไหนล่ะที่จะทำให้เรามีอำนาจที่แท้จริง ถึงจะสามารถต่อกรกับรัฐบาลได้ เป็นสิ่งที่จะเล่าในภาพยนตร์ ก็มีการได้พูดคุยกันลึกๆ หลายอย่างกับ “พี่โขม” เกี่ยวกับตัวเสือฝ้ายในเวอร์ชันนี้
เราจะได้เห็นการเติบโตของเสือฝ้าย เห็นอีกมุมที่ไม่เคยเห็นของเขา ในมุมที่โหดมาก เดือดมาก และเห็นเสือฝ้ายในมุมที่อ่อนโยนมากเช่นกัน ทุกอย่างดำเนินไปพร้อมกัน ค่อยๆ ไต่อารมณ์ไป ได้เห็นอุดมการณ์ มันมีเหตุผลของมันว่าทำไมแต่ละคนถึงทำและคิดแบบนี้ เรื่องของความโหดมันก็ต้องโหดจริง เรื่องของอุดมการณ์มันก็ต้องเป็นเส้นตรง เขาไม่สามารถบอกทุกคนได้ว่าจริงแล้วเขากำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ เพราะสิ่งที่ทำมันเป็นอันตรายกับทุกคน
โดยส่วนตัวผมไม่มีความกดดันกับบท “เสือฝ้าย” ที่เคยทำไว้ในหนัง “ขุนพันธ์” ที่ผ่านมา เพราะมันเป็นการเล่าคนละช่วงอายุกัน และเช่นเดียวกับนักแสดงเสือที่เหลือด้วย ทุกเสือในภาคนี้เป็นสีเทาเหมือนกันหมด แต่ว่าเทากันคนละเฉด คนไหนเทาอ่อน คนไหนเทาเข้ม แต่ละตัวจะมีเลเยอร์เป็นของใครของมัน
“พี่โขม” ได้อธิบายการเป็น “เสือฝ้าย” ในโปรเจกต์นี้ยังไงบ้าง
ผมเคยถาม “พี่โขม” นะว่าอุดมการณ์ของ “เสือฝ้าย” คืออะไร เขาต้องการสร้างคนสร้างชาติเหรอ แต่พอเขาเป็นเสือมันไม่มีที่ให้ยืน วันหนึ่งถ้าเรามีอำนาจมากพอ เราก็สามารถที่จะทำอะไรที่เราต้องการในแบบของเรา เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อไปถึงอำนาจนั้นและเปลี่ยนแปลงมัน
อย่างในเรื่องนี้เราจะเห็นว่ารัฐบาลทำไม่ถูกต้อง เอาเปรียบประชาชน กูปล้นคนรวยที่คดโกง แต่ไม่เคยขโมยอะไรประชาชน แต่กูเป็นเสือคนยอมรับกูในเรื่องปล้น เสือฝ้ายเป็นคนที่มีอุดมการณ์ เป็นคนที่น่าเกรงขาม พูดน้อยแต่ทำจริง ถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลที่น่าเคารพ แต่ในความน่ากลัวภายนอก เขาจะมีความอารี เป็นผู้ใหญ่ฝ้ายและครูฝ้ายของเด็กๆ เขามีโรงอุปถัมภ์เด็กกำพร้า ซึ่งมันจะมีความอบอุ่น มีความเป็นคุณพ่อใส่เข้าไปในเสือฝ้าย
ที่แกเลือกผม ผมว่าพี่โขมแกก็คงดูจากชีวิตจริงผมแหละ เพราะว่าผมมีลูก มีครอบครัว มีภรรยา นี่แสดงว่าแต่ละคนที่เลือกมาก็ดึงชีวิตจริงของแต่ละคนมาใส่ไว้ใน “เสือ” ด้วย ผมว่าอย่าง “พี่เป้” เล่นดนตรี อย่าง “พี่โน่” ก็ชกมวย อย่าง “พี่โอ้” ก็เป็นคนแบบสนุกสนานขี้เล่น ผมว่ามันดูแล้วน่ารัก แล้วมันน่าสนใจเรารู้สึกว่ามันมีอะไรให้เราเล่น พอเล่าย้อนไปถึงตัวตนหรือชาติกำเนิดเขาในวัยหนุ่มว่าเขาผ่านอะไรมา เจออะไรมา เราก็จะได้เห็นว่าทำไมเสือฝ้ายเขาถึงมีอุดมการณ์แบบนี้ ทำไมเขาถึงเป็นเสือฝ้ายที่ยิ่งใหญ่ของภาคกลางได้ ผมกับพี่โขมปรึกษากันว่าเราอยากให้เสือฝ้ายในวัยนี้ออกมารูปแบบไหน และอะไรที่มันมีในความเป็นผมตอนนี้ มีครอบครัว มีลูก พี่โขมก็จะเอาตัวเราเข้าไปใส่ในนั้นด้วยส่วนหนึ่ง
ไม่ได้เล่นแอ็กชันมานาน กลับมารอบนี้เตรียมตัวอะไรบ้าง
ถ้าทุกคนเคยดูผลงานของผมมาตั้งแต่เข้าวงการ ผมเล่นมาแล้วทุกบท และยิ่งในช่วงสิบปีแรกตั้งแต่เข้าวงการมาก็เน้นแต่แอ็กชันเลย ทั้งสลิง ระเบิดภูเขา เผากระท่อม กระโดดจมน้ำ ดำน้ำ ตีลังกา ตายแล้วตายอีก ผมผ่านมาหมด และอีกช่วงจังหวะระยะเวลาหนึ่งเมื่อความอิ่มตัวของทางการแสดงมันอยากจะพัฒนาตัวเองผมก็ลองสไตล์อื่นบ้าง ผมได้รับโอกาสดีมากมายไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สายประกวดต่างๆ ภาพยนตร์แนวดราม่า ความสัมพันธ์ที่มันโคตรจะยาก ที่ต้องเข้าคลาสเวิร์กชอปไม่รู้กี่วันก็ผ่านมาแล้ว เราคิดว่าคงจะไม่มีใครติดต่อเรามาเล่นแอ็กชันอีกแล้ว อายุจะสี่สิบแล้วตอนที่โปรเจกต์ “เสือ” ติดต่อเข้ามา แล้วพอติดต่อมาก็เป็นหนังแอ็กชันเดือดระดับประเทศเลยด้วย
ผมผ่านฉากแอ็กชันมาค่อนข้างเยอะมาก ใช้เวลารื้อฟื้นไม่นาน พวกเรามีการไปซ้อมกันนอกรอบสองคิวเต็มๆ สำหรับฉากที่ต้องมาสู้กันเอง สู้กับโจรอื่นๆ ซึ่งเป็นฉากใหญ่ มันก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้เราระดับหนึ่ง ทุกทีมทุกตำแหน่งเขาก็เตรียมมาอย่างดีหมดอยู่แล้ว เรื่องของคิวแอ็กชัน เรื่องของความปลอดภัย มุมภาพต่างๆ ทำให้รู้สึกวางใจมาก และสนุกมาก “4 เสือ” เราใช้เวลาซ้อมด้วยกันทั้งวัน ทั้งอาวุธ ทั้งอาคม เพราะแต่ละคนก็จะมีความเป็นธรรมชาติของตัวเอง มีการสู้ มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจน
แต่ด้วยความที่เรื่องนี้เหมือนจุดเริ่มต้นของแต่ละเสือ ต่างเติบโตกันมาคนละอย่าง ทุกเสือมันมีความเจ๋งในตัว และก็มีความขัดแย้งกันเองในหลายๆ อย่าง ฉากแอ็กชันมันจะรวมๆ กันระหว่างความมันส์และความสนุกของเสือที่อยากจะฟัดกันเอง
ตอนที่แสดงกัน ผมก็สังเกตสกิลของแต่ละเสือ แล้วก็แซวแต่ละคน อย่าง “พี่เป้” (เสือใบ) เสก “กระสุนคต” ออกมา สกิลมันเจ๋งมาก กระสุนคตออกไปจากเสือใบ จบกลับมาที่เสือใบ หล่อมาก แรกๆ ก็ชอบ หลังๆ เริ่มแซวละ เป้มันเท่เกินไปว่ะหมั่นไส้
แต่ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม เราก็ไม่ใช่อายุ 20 กันแล้วก็มีบ้าง แต่เราเหนื่อยบนการทำงานที่ยังสนุก เรามองไปข้างหน้า มองทุกคนรอบๆ มันก็เหนื่อยกันหมด และพร้อมที่จะเหนื่อยไปด้วยกัน เอาเป็นว่าทุกคนเล่นจนกันลืมเหนื่อย และการทำงานภาพยนตร์สมัยนี้มันไม่ได้ทำกันเลือดตาแทบกระเด็นแบบสมัยก่อน มันมีสเปเชียลเอฟเฟกต์ มีอุปกรณ์ที่มาซัปพอร์ต มีทีมสตันต์ที่ดีที่คอยสอนคอยเซฟตี ผมมาทำงานที่กองเหมือนมาสนามเด็กเล่นกับเพื่อนผู้ชายครับ ยิ่งฉากไหนโหดๆ มีระเบิดกันตู้มต้าม พวกเราก็สนุกกับมัน ขนาดมองกันในกองถ่ายยังมันส์ขนาดนี้ พอทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ผมเชื่อว่าโคตรมันส์แน่นอน
แล้วสกิลอื่นๆ ที่ห่างหายไปอย่างการใช้ปืน ขี่ม้า มีเวลาทบทวนก่อนมาเป็น “เสือฝ้าย” บ้างไหม
ผมก็ไม่ค่อยได้ใช้ปืนยาวเท่าไหร่นะ แต่เรื่องนี้มันต้องเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในร่างกาย เพราะต้องใช้สู้ตลอดเวลา กองเขาก็เอาปืนให้ยืม เอากลับไปซ้อม ยังแซวกันเล่นๆ ว่าถ้าตำรวจเรียกทำไงวะเนี่ย ขำกัน แต่จริงแล้วมันเป็นปืนเอฟเฟกต์ของกองถ่าย ผมก็เอากลับบ้านไป วันไหนว่างตอนกลางคืนลูกหลับ ก็เอาออกมาควงเล่น ควงยากอยู่นะครับ เจ็บนิ้วด้วย ปืนหนักมาก ถือไม่ดีจังหวะไม่ได้มีนิ้วขาดแน่ มีการต้องเพิ่มการใส่ถุงมือเข้ามา พอใส่แล้วกระชับมือขึ้น เพื่อให้เสือฝ้ายได้โชว์การควงปืน เป็นการเสริมคาแร็กเตอร์ให้เท่กว่าเดิม แต่ถ้าในชีวิตจริงใครจะควงไปยิงไปได้ขนาดนี้ ก็นับถือเลยครับ
แล้วที่ยากกว่านั้นคือเราต้องขี่ม้าไปยิงไปได้ด้วย เรื่องขี่ม้าผมก็ทำได้ประมาณหนึ่ง เพราะอย่างที่บอกตอนเข้ามาในวงการได้ทำทุกอย่างแล้ว แต่ผมก็ต้องไปรีสกิลนี้อีกทีให้มั่นใจ เพราะผมต้องปล่อยสองมือเพื่อยิงปืนบนหลังม้า ขี่ม้ามือเดียวก็เสียวแล้วนะครับ นี่ต้องปล่อยสองมือยิง แต่ชอบนะครับ คิวหลายคิวมีซ้อมกันล่วงหน้า เราไม่ได้สู้กันแบบตัวๆ มีสามรุมหนึ่ง สี่ต่อสี่ สี่ต่อแปด เยอะมาก ต้องจำคิว จำอาคม อาวุธ ท้าทายไปหมด ใช้เวลารื้อฟื้นสักพักครับ
ไม่ว่าจะเป็นซีนใหญ่หรือซีนเล็ก มันจะถูกซ้อมมาไม่รู้กี่ครั้ง โดยเฉพาะซีนที่เป็นฉากแอ็กชัน อย่างที่ผมบอกมันต้องสมบูรณ์แบบมาพร้อมกับความปลอดภัย ยิ่งซ้อมมันก็จะยิ่งออกมาดี และยิ่งซ้อมมันก็ยิ่งจะแม่น พอมันแม่นมากมันจะปลอดภัย ถึงหน้าเซตจะมานั่งนับหนึ่งใหม่ตอนนั้นไม่ทันแล้ว แล้วคิวเรื่องนี้นอกจาก “4 เสือ” สู้กัน ยังมีต้องสู้กับคนอีกเยอะพร้อมๆ กัน ไฟอยู่ตรงไหน สเปเชียลเอฟเฟกต์อยู่ตรงไหo โดรนจะมาทางไหน ต้องซ้อมแล้วซ้อมอีก จนกว่าคิวจะแม่น นักแสดงร่วมก็ต้องแม่น ที่เห็นทุกอย่างในหนังออกมาดุเดือด มันมีร่องรอยของบาดแผล เป็นธรรมดาที่จะเกิดขึ้นได้บ้าง เขาเซฟเรา เราเซฟเขา แต่ในขณะเดียวกันต้องสมจริง ผมว่าการซ้อมเอาไว้ล่วงหน้า มันดีที่สุดแล้วสำหรับหนังแอ็กชัน พวกเรานักแสดงก็คิดไปในทิศทางเดียวกัน ผมว่าพี่น้องที่เล่นเรื่องนี้ ทีมงานก็วางแผนและเตรียมตัวกันเต็มที่ ถึงจะใช้เวลาหรือเสียเวลากับมันบ้าง แต่ผลออกมาแล้วมันหายเหนื่อยครับ
โดนแซวเรื่องหนวดด้วย
ตอนนั้นผมจบโปรเจกต์ก่อนหน้านี้มา ผมก็ไว้หนวดไว้เคราของผมมาเรื่อยตามปกติ ก็กำลังจะตัดแล้วแหละแต่เผอิญว่าทางทีมงานให้ผมส่งรูปปัจจุบันไปให้ดู ทางทีมเห็นก็บอกว่าให้ผมลองไว้หนวดไปก่อน แล้วเดี๋ยวมาดูว่าจะโกนหรือไว้หนวดดีกว่ากัน สรุปสุดท้าย “พี่โขม” แกอยากให้ผมไว้หนวดเครา แกบอกมา
แบบนี้แหละ ไม่ต้องเรียบร้อย เราเป็น “เสือฝ้าย” ไว้หนวดแต่เราไม่ได้ดูโทรม เสือฝ้ายต้องมีตังค์ มีชุดเท่ๆ ไปเข้ากับนักการเมืองได้
ขนาดวันแรกที่ฟิตติง “พี่เป้” ยังจำผมไม่ได้เลย หลายสื่อก็แซวว่าไว้หนวดเพื่อลูกสาว แต่จริงๆ แล้วไว้สนุกๆ แต่ดันตรงกับที่ทีมงานต้องการพอดี ผมก็อยากจะเต็มที่กับทุกๆ โปรเจกต์ นี่ก็ไว้หนวดยาวมานานพอควรเลยครับ แล้วกว่าจะจบโปรเจกต์นี้ ถ้าไม่ตัดเลยบทต่อไปคงได้เป็นฤๅษีแล้วละครับ
มาเจอเพื่อนๆ “เสือ” ในวันแรกเป็นยังไงบ้าง
ถึงในเรื่องอาจจะเป็นพี่ใหญ่ แต่ในชีวิตจริงในการการทำงาน ผมถือว่าเป็นน้องใหม่สุด เราไม่เคยรู้เลยว่าคาแร็กเตอร์หรือการทำงานที่ผ่านมาเขาเข้าขากันยังไง มันแอ็กชันแค่ไหน หรือว่ามันดราม่าอะไรบ้าง พอเรามาเจอเพื่อน ๆ ถือว่าเป็นเพื่อนละกัน เพราะว่าอายุใกล้กันหมด ผมก็ถามเพื่อนว่ามันเป็นยังไงบ้างที่ผ่านมา เขาก็จะบอกว่าที่ผ่านมาบู๊โหดมากพี่เวียร์ ดราม่าก็มี แต่เวอร์ชัน “เสือ” นี้ มันจะตลกและสนุก
แต่ผมเห็น “เป้” ถ่ายมา 3-4 คิวแล้วยังไม่เห็นมีตลกเลยนะ ก็แซวกันเล่นกันเป็นมุกตลอด ถือว่าเป็นการทำงานที่ยาก พระเอกเยอะตัวท็อปมีฝีมือกันทั้งนั้น นี่ยังไม่รวมถึงผู้กำกับหรือว่าทีมงานนะครับ แค่เสือ 4 คนมารวมตัวกัน ผมว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว “4 เสือ” ทุกคนคือคนเก่ง เก่งอย่างเดียวไม่พอ เหนือกว่านั้นคือมันตายยากด้วย คาถาอาคมแต่ละคนไม่ธรรมดา จะจัดการกับมันยังไง ผมว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่คนดูยังไม่เคยเห็น ใครจะสู้กับใคร ใครจะตายก่อนกัน จะเอาอะไรไปสู้กับอาคมของเสือตัวไหน เล่ห์เหลี่ยมของความเป็นเสืออยู่ในตัวก็มีแพรวพราวไปหมด มันต้องใช้ศิลปะสอดแทรกให้กับเสือแต่ละตัวด้วยความแยบยลจริงๆ
เหตุผลหนึ่งที่ผมรับเล่นโปรเจกต์นี้ เพราะพวกเราไม่ได้มาแอ็กชันกันเพียงอย่างเดียว เราต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกไปมาเพื่อต้องสู้กับอีกฝ่ายด้วยสมอง ทุกเสือจะมองไปข้างหน้า เป้าหมายอาจเหมือนกันหรือไม่เหมือนกัน ในความแอ็กชันมันมีกลยุทธ์ต่างๆ นานา ไม่ใช่อย่างที่เคยเห็นใน “ขุนพันธ์” การโดดเข้ามาเป็น “เสือฝ้าย” มันเปลี่ยนทั้งมายด์เซต เปลี่ยนทั้งวิธีการแสดงออกที่ต่างไปจากเดิมด้วย
แล้วโดนคนอื่นแซวกลับบ้างไหม
ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเขาแซวกันเรื่องไหนบ้าง แต่ก็มีเรื่องขาผมมันยาวต้องคอยระแวดระวัง ยกทีเวลาพี่สตันต์หรือเพื่อนอีก 3 เสือแอ็กชันกันเองก็จะบอกว่าผมขายาว ขอพื้นที่ไม่ต้องเข้ามาใกล้มาก เดี๋ยวเท้ามันจะไปถึงเอง มีการนัดแนะล่วงหน้านิดนึง ไม่งั้นมันจะจุก อาจจะโดนกันเอง แล้ว “เสือฝ้าย” เป็นคนที่ใช้อาวุธปืนยาวอีก มีควงซ้ายขวาหน้าหลัง เรียกว่าวงปฏิบัติการจะแผ่รัศมีกว้างมาก ทั้งขา ทั้งปืน ก็มีแซวกันบ้างเหมือนกัน
เข้าขากับ 3 เสือแล้วใช่ไหม
ครับ แรกๆ ก็พยายามคุยกันตอนกินข้าว พยายามเจอกัน เปลี่ยนเสื้อผ้าก็คุยกัน เจอกันสวนไปสวนมา ไม่มีโอกาสได้ทำงานแบบจริงจัง แต่ละคนก็โตกันหมดแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมา ผ่านงาน ผ่านทุกอย่างกันมาหมดละ ไม่จำเป็นต้องคุยเยอะ แต่ถ้าอยากคุยอะไรก็คุยกันได้เลย เราไม่ต้องมานั่งเกรงใจ อยากจะถามอะไรขึ้นมาเราก็สามารถถามได้หมดอยู่แล้ว เราก็โชคดีแหละ เหมือนอยู่กับวงการบันเทิงมานาน พวกเราทั้ง 4 คนก็เข้าวงการไล่เลี่ยกัน ประสบการณ์ใกล้เคียงกัน เห็นผลงานกันมาเยอะแล้ว มาเจอกันก็ไม่มีอะไรน่ากังวล คุยกันเหมือนเพื่อนไปเลย
เรามักจะได้ยินสิ่งที่เขาเคยแสดงกันมาจาก “ขุนพันธ์” มันเหมือนดิสนีย์แลนด์ของผู้ใหญ่ ของเด็กผู้ชาย มีเท่าไหร่ใส่หมด ได้เจอแต่ฉากหวาดเสียวและแมนๆ กันทั้งวัน พอตอนหลังมันเหนื่อย พอมันใส่หมดทุกวันมันเหนื่อย เพราะเราเดือดกันทุกวัน ตอนนี้อายุมากแล้วก็มีเซฟๆ กันบ้าง
ต่างคนต่างเป็นไอดอลของกันและกันใช่ไหม
ใช่ ผมรู้สึกแบบนั้นกับทุกคนนะ ทุกคนเป็นไอดอลของแต่ละอย่าง “พี่โน่”, “พี่เป้”, “พี่โอ้” รุ่นใหญ่กันทั้งนั้น ผมก็รุ่นใหญ่ด้วย ดีใจครับ ผมถือว่าแต่ละคนเราทำงานหนักๆ ผ่านกันมาเยอะแล้ว บางทีเราพูดบางอย่างกับคนอื่นไม่เข้าใจ แต่เราอาจจะพูดกันเองรู้เรื่อง ผมว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราได้มาคุยกัน บางอย่างผมจะไปคุยกับใครอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ถ้าผมคุยกับคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา มันคุยนิดเดียวรู้เรื่อง แล้วพวกเขาทั้ง 3 คนก็เป็นแบบนั้น
ทำงานร่วมกับ “พี่โขม” รอบนี้เป็นยังไงบ้าง
ก็รู้เลยครับกับ “พี่โขม” ง่ายๆ เขาก็ไม่ค่อยทำอยู่แล้ว แกเก่งครับ ทำงานใหญ่ในเวลาน้อยได้ มีอะไรในหัวแล้วสามารถนำเสนอออกมาได้ตลอดเวลา แล้วดีด้วย ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ผู้กำกับทุกคนต้องมี รู้สึกว่าการได้ทำงานกับคนที่มีของ มีศักยภาพ มีความคิดใหม่ๆ ทดลองอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา มันทำให้เราโตขึ้นไปกับเขา ทำให้เราได้ประสบการณ์ที่ดี ได้เรียนรู้ไปด้วย ถ้ามองจากภายนอกพี่โขมต้องดุไรแน่ แต่จริงๆ ไม่ใช่ การทำงานก็คือการทำงาน ตลก น่ารัก เก่ง
พี่โขมเขาไม่ใช่ว่าเป็นผู้กำกับแบบแอ็กชัน บู๊ล้างผลาญ ระเบิดเพียบอย่างเดียว แต่ในทุกๆ โปรเจกต์ของเขาจะสอดแทรกในสิ่งที่เขาน่าจะชอบ สอดแทรกเรื่องของการเมือง เรื่องของสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ในสังคม สังเกตว่ายุคสมัยนั้นนักการเมืองอย่าง “ท่านจอมพล” คือยิ่งใหญ่ขนาดไหน จัดงานมหรสพกันเหมือนงานกาชาดในปัจจุบัน มีการออกร้าน ฉายหนัง เล่นละครเวทียิ่งใหญ่ ในขณะที่ไปดูฝั่งประชาขนยังอดอยาก ถูกรังแก ทำไม “เสือ” มันต้องจ้องจะโค่นอำนาจ ทำไมต้องช่วงชิงบารมีกัน ในภูเขาสูงย่อมมีเหวเสมอ ในงานพี่โขมจะสอดแทรกเรื่องพวกนี้เอาไว้ให้เราบันเทิงด้วย คิดไปด้วย ต้องขอบคุณพี่โขมที่เอาผมมาเล่นเป็น “เสือฝ้าย” ในวัยหนุ่มนะครับ ผมก็ทำให้พี่เขาเต็มที่ ผมเห็นแกเหนื่อยนะ แต่แกก็มันส์ของแกอยู่ หนังดุเดือด โหดแค่ไหนก็ต้องเป็นพี่โขมกำกับนั่นแหละถูกแล้ว
พูดถึงการทำงานกับ “เป้ อารักษ์” ที่รับบท “เสือใบ”
สำหรับผม การที่ได้ร่วมงานกับ “เป้-โอ้-โน่” ผมเรียกว่าเป็นระดับอาจารย์นะครับ ทุกคนผ่านอะไรกันมาหลายอย่างแล้ว หลากหลายสไตล์ “พี่เป้” เป็นอีกคนที่ผมเรียกเขาว่าพี่ได้เต็มปาก ซึ่งจริงๆ อายุไม่ได้ต่างกัน แต่ผมรู้สึกว่าเขาเท่ เซอร์ เวลาคุยกันในกองรู้สึกว่าคุยกันรู้เรื่อง เหมือนคุยภาษาเดียวกัน ทั้งที่บางทีความสนใจในสิ่งที่ชอบอาจจะไม่เหมือนกัน อาจจะเป็นว่าเราอยู่ในวัยใกล้กัน ผมรู้สึกว่าเขาโพรเฟสชันนัลในการทำงาน ไม่ได้เครียดเกิน ไม่ได้สบายเกิน ดูเป็นคนที่ผ่านการทำงานหนักหนักมาเยอะ แต่กระสุนคตเขาเท่เกินไป ตรงนี้แหละครับที่ติดใจนิดหน่อย
กับ “มาริโอ้ เมาเร่อ” ที่รับบท “เสือมเหศวร”
“โอ้” เขาเป็นคนสนุกสนาน พอเรื่องนี้มีโอ้แล้วรู้สึกว่ามันชื่นใจ ขนาดเราเป็นผู้ชายนะ ยังรู้สึกว่าไอ้หนุ่มคนนี้มันมากด้วยเสน่ห์ โอ้กลายเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ มุมมืดๆ ของ “เสือ” จะโหดแค่ไหน แต่พอหันมาทางโอ้คือสว่างวาบ “เสือมเหศวร” จะเป็นใครไม่ได้ต้องเป็น “มาริโอ้” เท่านั้น ตอนอยู่ในกองพวกเราคุยกันเรื่องรถ ไม่ค่อยคุยเรื่องงานกันเลย เพราะต่างคนต่างไปทำการบ้านของตัวเองกันมาแล้ว ตอนซ้อมเราก็ซ้อมด้วยกันมาแล้ว พอพักทุกคนก็จะคุยกันในเรื่องที่ตัวเองชอบ เป็นการพักผ่อน
กับ “โตโน่ ภาคิน” ที่รับบท “เสือดำ”
“พี่โน่” จะเป็นคนที่เงียบๆ เวลาเล่นกัน เขาจะมาถามว่าอย่างนี้ดีไหม ผมเล่นแบบนี้เอาไหม เขาทำการบ้านกับคาแร็กเตอร์ของเขามาจนอิ่มตัวแล้วกับบท “เสือดำ” แล้วมันมาส่งผลให้เรารู้สึกว่าดีจังเลย พอคุยกับคนที่มันเข้าถึงตัวละครมามากๆ เราก็ซึมซับเหตุการณ์ในฉากนั้นไปด้วย แต่ละคนมันมีวิธีการเข้าถึงตัวละครไม่เหมือนกัน โน่ก็มีวิธีของเขา เราก็มีวิธีของเรา แล้วเราเป็นคนที่ต้องทำงานร่วมกัน ก็จะคุยกันว่าจะเป็นแบบไหน ไม่ใช่มาเซอร์ไพรส์กันหน้ากอง โน่เขาจะแลกเปลี่ยนกับเราเสมอ บางทีโน่เข้าลึกในตัวละครจนอินมากๆ เขาก็จะมาพูดกับเราให้เข้าใจ ทำงานแล้วก็สบายใจครับ ไม่มีปัญหาเลย
กับ “พี่ต้อม พลวัฒน์” ที่รับบท “จอมพล”
ผมเคยร่วมงานกับ “พี่ต้อม” มาแล้ว พี่ต้อมเป็นนักแสดงมืออาชีพครับ มีความธรรมชาติ เขาทำการบ้านเยอะมาก เวลาเราได้ทำงานกับรุ่นใหญ่ เรารู้สึกว่าเหมือนเราตีกอล์ฟกับโปร เราจะไม่แย่ลงแน่นอน การทำงานเรามันมีแต่จะดีขึ้นๆ ถ้าเราได้ทำงานกับคนที่เขาทำงานจริงๆ โพรเฟสชันนัล มันส่งให้เราดีไปด้วย มวลรวมในการทำงานกับพี่ต้อมมันเป็นแบบนั้นเลย
กับ “ท็อป ทศพล” ที่รับบท “หลวงประสาน”
“ท็อป” ก็เหมือนกัน เขาเป็นนักแสดงรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง เขาเข้าฉากมาแต่ละที เราจะเห็นว่าเขามาด้วยความพร้อม เชื่อว่าเขาทำการบ้านมาดี เขาพร้อมมาตั้งแต่ออกจากบ้าน ท็อปห่างจากผมไม่กี่ปี แต่รู้สึกว่าเขามีพลังมากพอที่จะอยู่กับพวกเราได้อย่างสนิทใจ บางคนชอบมองว่านักแสดงหน้าใหม่ พอมาเจอกับรุ่นใหญ่แล้วมันจะเข้ากันได้เหรอ แต่สำหรับท็อปไม่เป็นอย่างนั้น พลังเขาเหลือเฟือมาก เป็นความโชคดีของผมนะที่ได้ทำงานกับนักแสดงเก่งๆ ในวงการนี้เลย
กับ “หลิน มชณต” ที่รับบท “รสริน”
ด้วยความที่ส่วนใหญ่ตัวละคร “รสริน” กับ “เสือฝ้าย” ไม่มีซีนแอ็กชันร่วมกันเท่าไหร่ แต่ทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ในอีกรูปแบบหนึ่งมากกว่า ฉะนั้นก็จะเกิดซีนดราม่าร่วมกัน เป็นเรื่องราวที่ต้องคุยกันในเชิงลึก “หลิน” เขาก็เป็นนักแสดงอีกคนที่ทำการบ้านมาดี ได้ทั้งบทบู๊ เต้น ดราม่า ครบรส เขาต้องเข้ากับ “เสือ” ทุกคน เขาก็จะมีวิธีที่จะหวานกับใคร แกร่งกับใคร อยู่ภายใต้ใคร และเหนือใครได้ ในคาแร็กเตอร์เขาคือมีความเด็ดเดี่ยว แต่ก็อ่อนไหวตามประสาผู้หญิง มีเรื่องราวลึกลับที่ซ่อนปมชีวิตเขาอยู่ ในบทของรสรินต้องเป็นคนที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี รู้ทางหนีทีไล่ ฉะนั้นตัวละครตัวนี้ต้องหาผู้หญิงที่ครบรส ในซีนที่บู๊เขาก็ทำได้ จะหวานซ่อนเปรี้ยวแบบนักแสดงดาวรุ่งในสมัยนั้นเขาก็ทำได้ เราหานักแสดงที่ทำได้ดีทั้งสองแบบนี้มาได้ ก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ซึ่งหลินเขาตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ดีครับ และต้องไปลุ้นกันในหนังด้วยว่าจริงๆ แล้วรสรินเป็นคนของเสือตัวไหนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นตัวเดินเรื่องเลยครับ
ในเรื่องนี้มีซีนไหนอลังการจัดเต็มบ้าง
ต้องถามว่าซีนไหนไม่ใหญ่บ้าง (หัวเราะ) ตั้งแต่เริ่มเปิดกล้องจนถึงวันนี้ใหญ่ทุกซีนอย่าง “ซีนเปิดตัวท่านจอมพล” นักแสดงร่วมก็เยอะมากๆ พี่ๆ นักแสดงสมทบกว่า 200 ชีวิต เป็นฉากที่รวม “4 เสือ” น้องวงโยธวาทิตมากันทั้งขบวน กี่รถบัสที่ต้องขนกันมาวันนั้น เขาเป็นรุ่นน้อง “พี่โขม” จากโรงเรียนมาช่วยกัน แต่ผมบอกไม่ใช่รุ่นน้องละ อันนี้เขาเรียกว่ารุ่นลูก อลังการมากครับซีนนั้น
คือต้องบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ เราไม่ได้รวมเฉพาะแค่ “4 เสือ” ที่เราได้กล่าวไปแล้ว ยังมีอีกหลายท่านที่เป็นตัวละครรุ่นเดอะ มีทั้งนักดนตรี นักร้องจริงๆ ทุกคนคือแบบถูกอัดแพ็กรวมอยู่ในเรื่องนี้ คือเซอร์ไพรส์เยอะมากจริงๆ พวกฉากแอ็กชันก็ไม่ได้มันส์กันแค่ฉากเดียว อย่างที่บอกมีฉากไหนไม่ใหญ่บ้าง โจรสู้กับโจร มันไม่มีกฎระเบียบ ไม่มีวาระ มันไม่พอใจก็พร้อมจะลุกขึ้นงัดกันได้ทันที แล้วเสือก็เยอะกว่า 4 เสือตัวหลัก โจรเป็นก๊กเป็นเหล่า ไหนจะทหารอีก มันเยอะมากครับพูดไปก็ไม่หมด
ฝากผลงานล่าสุด
ถ้าใครเป็นแฟนหนังของ “จักรวาลขุนพันธ์” อยู่แล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนไม่ควรพลาดเรื่อง “เสือ” แต่สำหรับคนที่ไม่เคยดูงานของ “พี่โขม” แค่คุณมาเห็นทีมนักแสดงพวกเราทั้งหมดมาเล่นด้วยกัน แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้ง “พี่เป้”, “พี่เวียร์”, “พี่โน่”, “พี่โอ้” มาเจอกัน มันต้องมีอะไรมันส์ๆ รอคุณอยู่แน่นอน “เสือ” มารวมตัวกันในภาพยนตร์เรื่องนี้มันไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปดูเลย ผมเห็นแค่โปสเตอร์ผมยังอยากดู ฝากผลงานของพวกเราและพี่โขมเอาไว้ด้วยนะครับกับภาพยนตร์เรื่อง “เสือ" 23 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
-------------------------------------
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa