รีเซต

Interstellar การคืนสู่เหย้า ณ เวลา ความรัก และอวกาศ by Kanin The Movie

Interstellar การคืนสู่เหย้า ณ เวลา ความรัก และอวกาศ by Kanin The Movie
Jeaneration
7 สิงหาคม 2563 ( 14:30 )
2.7K
1

ข่าวสารวงการหนัง Interstellar

เมื่อวันพุธที่ผ่านมาได้มีโอกาสรับชม Interstellar (2014) อีกครั้งในรอบ 5 ปีกว่าๆ ความพิเศษของหนังเรื่องนี้สำหรับเรา คือมันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เราได้รับชมในระบบ IMAX ย้อนกลับไปตอนนั้นมันเป็นประสบการณ์ที่เปิดหู เปิดตา และเปิดโลกเรามากๆ เราดูภาพยนตร์ถ้าไม่จากโรงปกติ ก็ทีวีจอเล็กๆ ที่บ้าน พอได้มาดูหนังที่สเกลภาพมันใหญ่โตมโหฬารที่สอดรับกับความทะเยอทะยานในการนำเสนอของคนทำ มันเลยมีผลลัพธ์ที่สำคัญกับเรามากๆ ในช่วงชีวิตทศวรรษที่ผ่านมา จนปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้ตอนนี้ คริสโตเฟอร์ โนแลน จะไม่ใช่ผู้กำกับในดวงใจของเราแล้ว แต่ผลงานหลายๆ เรื่องของเขาก็มีอิทธิพลกับชีวิตการดูหนังของเรามากเหมือนกัน (หนึ่งในนั้นคือ Inception ที่ครบ 10 ปีแล้ว ไวโคตรๆ เลย)

มาดูรอบนี้อีกรอบก็จะพบว่าจริงๆ แล้วตัวเองลืมรายละเอียดหนังไปเยอะมาก แบบมากๆ ในระดับที่เหมือนดูใหม่อีกรอบ ถ้าไม่นับซีเควนซ์ หรือจุดพลิกผันสำคัญ เราแทบจำอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้เลย ตั้งแต่ช็อตเปิดหนัง การพูดถึงบริบทโลกที่กำลังใกล้ล่มสลาย ความจริงที่ศาสตราจารย์แบรนด์ปกปิด ฯลฯ หลายๆ จังหวะเริ่มคล้อยตามไปกับความสดของมันอยู่ แต่ก็อาจจะต้องยอมรับด้วยว่ามันมีหลายๆ พาร์ทที่ไม่ได้น่าสนใจ หรือใส่ใจเท่าไหร่ ก็เลยออกมาเป็นผลลัพธ์อย่างการลืมนั่นเอง

จริงๆ เซ็ตติ้งเรื่อง Interstellar ก็อาจจะคล้ายๆ กับหนังหายนะเรื่องอื่นๆ แต่หายนะมันไม่ได้มาในรูปแบบที่รุนแรง ปุบปับ ทำลายล้างทุกอย่างในระยะเวลาอันสั้น แต่มันค่อยๆ เคลือบคลานอย่างช้าๆ ค่อยๆ ทำลายความเป็นอยู่ของมนุษย์ ทั้งวิถีชีวิต สังคม รวมถึงระบบต่างๆ ให้เปลี่ยนไปจากเดิม จากมนุษย์ที่เคยแหงนมองขึ้นฟ้า ไขว่คว้าสิ่งที่อยู่เกินเอื้อม ตอนนี้เราทำได้แค่สนใจชีวิตของตัวเอง เพราะพวกเรากำลังจะตาย เราไม่ได้รับอนุญาตให้ทะยานขึ้นอีกต่อไป มันเลยออกมาเป็นโลกที่จะปกติก็ปกติ จะประหลาดก็ประหลาด

มีหลายๆ ดีเทลที่เผยความบิดเบี้ยวของโลกที่โดนหายนะฝุ่นเข้ายึดครอง อาทิ ปัจจุบันโลกไม่ได้ต้องการการสำรวจอวกาศอีกต่อไป เราไม่ได้ต้องการวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ เราต้องการเกษตรกร เราต้องการบุคลากรที่จะช่วยให้เพื่อนมนุษย์มีอาหารกิน การเป็นชาวไร่เลยลกายเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนภารกิจอวกาศกลายเป็นส่วนเกิน (ซึ่งเป็นเหตุผลให้ภารกิจ NASA ถูกทำแบบลับๆ เพราะไม่สามารถเปิดเผยงบประการดังกล่าวท่ามกลางวิกฤตโลกได้) รวมถึงการเปลี่ยนตำราสอนให้ภารกิจอพอลโล 11 เป็นปฏิบัติการลวงโลกในสงครามเย็นนี่ก็ชอบมากๆ เหมือนอวกาศอันยิ่งใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ฝันถึงอีกต่อไป หนำซ้ำ มันยังถูกกดทับ ลดคุณค่า และตรวจสอบด้วยสายตาปัจจุบันด้วย

คือมันพูดถึงโลกน้อยมากๆ แต่เงื่อนไข ภาพความเป็นอยู่ของตัวละคร รวมถึงประชาชนก็เพียงพอแล้วสำหรับแรงผลักดันให้ตัวละครต้องต่อสู้เพื่อมนุษยชาติ แรกเริ่ม คูเปอร์คิดว่าเขาคือมนุษย์ที่จะยังคงต่อสู้กับธรรมชาติได้ด้วยฟาร์มข้าวโพดที่ยังคงทนสภาพอากาศได้อยู่ แต่เมื่อเขาได้หลงเข้าไปศูนย์วิจัย NASA ก็ทำให้พบว่าท้ายที่สุดธรรมชาติจะเป็นฝ่ายชนะ มนุษย์เราไม่มีอำนาจหรือพลังมากไปกว่านั้น สิ่งที่เราทำได้คือการละทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง เพื่อก้าวต่อไปสู่อีกโลกใบ (Mankind was born on Earth. It was never meant to die here.)

ซึ่งคีย์เวิร์ด “การละทิ้ง” นี่แหละที่สำคัญกับหนังมากๆ ถูกใช้ในทุกความสัมพันธ์ ทุกคอนฟลิกต์ และทุกการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในเรื่อง หนังมันพูดถึงการทะยานไปข้างหน้า แต่การที่จะก้าวต่อไปได้บางครั้งเราก็ต้องทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลัง อาจเป็นของ หรือเป็นใครสักคน เงื่อนไขดังกล่าวทำให้ทุกการไปต่อของทีมสำรวจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ลำบากใจ แต่นั่นก็เป็นทางเดียวที่พวกเขาต้องทำเพื่อมนุษยชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าภาวะความรู้สึกของตัวเอง

เงื่อนไข “เวลา” ในหนังนี่ดูกี่ครั้งก็ตายจริงๆ นะ รู้สึกว่าเป็นธีมสำคัญที่ทำให้เราชอบ Interstellar มากๆ เวลารับใช้ทุกอย่างในหนังเลย ตั้งแต่การพูดถึงภาวะรอคอย ภาวะถูกทอดทิ้ง รวมถึงยังเป็นตัวแปรสำคัญในภารกิจ เวลาที่เดินทางไม่เท่ากันระหว่างสองพื้นที่ รู้สึกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในหนังคือใจหาย การที่เวลาถูก skip ข้ามหลายทศวรรษด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที สร้างแรงสั่นสะเทือนกับใจเรามากๆ ทุกครั้งที่ได้ดู ไม่ว่าจะเป็นคูเปอร์กับเทปบันทึกครอบครัว, การกลับมาเจอรอมมิลี่ในสภาพแก่ชรา, การพบว่าตัวเองเอาเวลาหลายสิบปีของมนุษยชาติไปเสียเปล่า ฯลฯ อะไรพวกนี้ เวลาจะช่วยเน้นย้ำความรุนแรงทางความรู้สึกให้เราฟัง มันพูดถึงความยาวนานของเวลา แต่วิธีเล่นงานคนดูคือการนำเสนอทั้งหมดด้วยความเร็วที่ปุบปับไม่ทันตั้งตัว เพื่อเผยผลลัพธ์ที่แสนโหดร้ายกับตัวละคร

แม้ว่าช่วงท้ายเรื่องหนังจะมีท่าทีที่หลุดโลกไปเสียหน่อย แต่เราก็ยังชอบธีมของเรื่องความรักที่อยู่ในหนังนะ หนังพยายามตั้งคำถามกับพลังที่เรียกว่าความรัก ด้วยการปฏิบัติต่อมันเหมือนกับสิ่งอื่นๆ ในวิทยาศาสตร์ การส่งความรักถึงกันและกัน ความรักกลายเป็นพลังงานเดียวที่เคลื่อนย้ายผ่านทุกมิติได้ ซึ่งมันเอามาใช้ในตอนท้ายเรื่องจนเกิดเป็นภาวะที่น่าพิศวง ซึ่งเราชอบดี

ตัวละครเชื่อในความรัก แต่ก็ไม่สามารถไว้วางใจมันได้ 100% ว่าพลังงานนี้จะส่งผลอย่างไร คือในขณะที่ช่วงแรกมันพูดถึงเวลา กฎเกณฑ์ของวิทยาศาสตร์ ช่วงท้ายมันกลับพูดถึงสิ่งที่พวกเขาพกติดตัวมาจากโลกด้วย นั่นคือความรัก ความรักต่อคนรัก ความรักต่อครอบครัว สิ่งที่พวกเขาต่างมีให้ใครสักคน และท้ายที่สุดมันก็พาชีวิตของพวกเขาไปพบกับปลายทางที่ตัวเองต้องการ เมื่อพวกเขาเชื่อในพลังงานนี้ - คือมันอาจจะฟังดูสวนทางกับช่วงเริ่มต้นที่ดูเข้มข้นในเรื่องของฟิสิกส์ อวกาศ มากๆ แต่ก็ดูเป็นความทะเยอทะยานที่น่าสนใจ อยู่ที่ว่าคุณจะเชื่อในแบบเดียวกับที่หนังเชื่อหรือเปล่า

มาดูอีกรอบใน IMAX แล้วพบว่านอกเหนือจากภาพที่อลังการงานสร้างมากๆ (ทุกซีเควนซ์ใหญ่ๆ ในเรื่องยังได้ใจเราเสมอ อาทิ ฉากเข้ารูหนอนนี่สวยมากๆ ตื่นเต้นมากๆ แม้จะดูซ้ำหลายรอบใน Youtube ก็ตาม) คืองานด้านเสียง ส่วนตัวชอบสกอร์ของ ฮานส์ ซิมเมอร์ มาเสมอ (แต่ไม่ค่อยชอบวิธีทำงานใน Dunkirk เท่าไหร่) เออ พอดูแล้วเราพบเลยว่า ความยิ่งใหญ่ที่ปรากฎในงานของโนแลน ส่วนหนึ่งก็คือเสียง สกอร์ทำงานกับหนังมากๆ ทั้งในด้านของอารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงการหมุดหมายให้คนดูรู้ว่าสถานการณ์เหล่านี้มันสำคัญ ซึ่งเราชอบมาก แม้ว่าหลายๆ ครั้งมันจะกระหึ่มจนหูแทบแตกก็ตาม

โดยรวม Interstellar เป็นหนึ่งในหนังอวกาศที่เราเอนจอยมากๆ แม้ว่าในพล็อตๆ หรือประเด็นเดียวกันนี้เราจะชอบ Arrival (2016) หรือ Contact (1997) กว่า แต่มันก็ยังเป็นหนังที่ทำงานกับเราในหลายๆ มิติได้อยู่ หลายๆ ซีเควนซ์ดูทุกวันนี้ก็ยังตื่นตาตื่นใจ มันไม่ใช่แค่เพราะงานภาพ งานเสียง งานซีจี แต่เป็นเงื่อนไขที่ถูกใส่เข้ามา

สภาวะนักสำรวจที่ไร้จุดหมายปลายทางแต่แบกรับชะตากรรมมนุษยชาติไปพร้อมๆ กับความรู้สึกของตัวเอง มันเลยออกมาเป็นหนังไซไฟที่โดดเด่นทั้งในเรื่องของวิทยาศาสตร์ และก็ความสัมพันธ์ครอบครัวที่อาจทำใครหลายคนเสียน้ำตาได้ไม่ยาก ฉากคูเปอร์กลับมาเจอภาพลูกๆ ในวัยผู้ใหญ่ ทั้งที่เขาเพิ่งลาจากลูกๆ ในวัยเด็กไปได้ไม่นานนี่มันเกินคำบรรยายจริงๆ เวลาเป็นสิ่งที่งดงามเมื่อเราได้ครอบครอง แต่ก็น่ากลัวมากๆ เมื่อเราพบว่าตัวเองทำมันหลุดลอยหายไป

หนังกลับมาฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ครับ ถ้าเต็มอิ่มทางด้านประสิทธิภาพก็แนะนำ IMAX ครับ เดี๋ยวสัปดาห์หน้าก็จะมี Inception (2010) อีก รวมถึง Tenet (2020) ในช่วงปลายเดือนครับ นี่มันเดือนของ คริสโตเฟอร์ โนแลน จริงๆ

----------------------------------------------------

>> ดูหนังดูซีรีส์ออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<