Eternal Sunshine of the Spotless Mindหากจิตใจไร้ซึ่งความทรงจำก็คงมีแต่ความสุขอันเจิดจ้าในชีวิต จริงเหรอ? ได้ยินชื่อเสียงเรียงความมานานมากๆ สำหรับเรื่องนี้ ซึ่งไม่ต้องบอกเลยว่าทางนี้เป็นยังไง ดูจบแล้วสตั้นไปสามนาทีน้ำตาไหลเฉย555555 ยกให้เป็นอีกหนึ่งหนังรักที่ให้นิยามของคำว่า ‘รัก’ ได้ดีมากที่สุดอีกเรื่อง จะเล่าพล็อตคร่าวๆ ทิ้งไว้เผื่อใครอยากรู้ แต่ถ้าให้แนะนำคือไม่ต้องรู้อะไรเลยดีที่สุด ใครไม่อยากรู้ข้ามย่อหน้านี้ไปเลยน้า หนังเรื่องนี้เล่าถึง ‘โจเอล’ ชายหนุ่มที่ตื่นมาทำงานตามปกติ แต่อยู่ดีๆ วันนี้เขาก็เกิดอยากนั่งรถไฟไปต่างเมืองระหว่างทางเขาได้เจอกับ ‘คลีเมนไทน์’ ได้ใช้เวลาร่วมกัน และตกหลุมรักเธอ เช้าวันต่อมาโจเอลแวะรอคลีเมนไทน์หยิบแปรงสีฟันที่บ้านเธอ จากนั้นหนังก็ตัดไทม์ไลน์กันดื้อๆ มาทำให้รู้ว่าความเป็นจริงโตเอลกับคลีเมนไทน์รู่จักกันอยู่แล้ว เป็นแฟนกันซะด้วย แต่อยู่ๆ คลีเมนไทน์ก็ทำเหมือนไม่เคยรู้จักโจเอลมาก่อน สุดท้ายก็เลยได้รู้ว่าเธอได้ใช้บริการ‘ลบความทรงจำ’ เกี่ยวกับเขาไปซะหมด โจเอลโกรธมาก จึงขอลบความทรงจำเกี่ยวกับเธอเช่นกัน จะบอกว่าถ้าไม่รู้เรื่องย่อคร่าวๆ มาก่อนดูแรกๆ อาจจะงงๆ นิดนึง แต่พอตอนจบมันจะพีคแน่นอนเรามั่นใจ ทางนี้เองก็คือคิดว่าจะไม่มีอะไร แต่ไปๆ มาๆ ดันทำให้ใจเราเต้นได้ แล้วพอหนังเอาเรื่องราวไปผูกกับช่วงต้นเรื่องอีกทีคือใจสั่นแล้ว ขนลุกแล้ว น้ำตาซึมแล้ว แต่ยังไม่พอ ทางหนังยังขยี้ความรู้สึกเราโดยการพาเราข้ามจุดนั้นไปอีก คือความรู้สึกเราตอนนี้มันเต็มไปด้วย emotion ที่หลายหลายมากๆ ขนาดว่ายังไม่ได้เก็บรายละเอียดหนังเยอะเพราะต้องคอยทำความเข้าใจกับมันไปด้วย ถ้าหากได้ดูอีกครั้งเราว่าคงจะได้ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้มากกว่าเดิมแน่ๆ เป็นหนังรักที่พล็อตแปลกแถมเล่าเรื่องเก่ง ต่อให้มันจะ unreal แค่ไหนแต่หนังก็ทำให้เราอินและรู้สึกว่ามันเรียลได้ รวมถึงยังผูกเงื่อนไขที่แสนจะ unreal พวกนี้ไว้กับความรู้สึกเราได้อย่างเหนียวแน่น บีบอารมณ์เราได้อย่างชาญฉลาด ไม่คิดว่าแค่การลบความทรงจำมันจะพาเราไปถึงจุดที่อารมณ์เตลิดขนาดนั้นอ่ะ สุดจริงใครที่ไม่อยากรู้เรื่องราวมากอ่านแค่นี้พอจริงๆ เดี๋ยวจะเม้าเกี่ยวกับหนังไว้ด้านล่างอีกทีนึง แต่จะขายให้ฟังว่านี่เป็นหนังรักที่จะทำให้คุณเข้าใจถึงการ ‘ยอมรับ’ ในตัวคนอีกคนมากขึ้น ทุกคนมีทั้งด้านดี ด้านร้าย ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นในวันแรกที่พบกัน ในวันที่ได้เห็นสิ่งผิดพลาดในตัวอีกฝ่าย หรือเรื่องแย่ๆ ในตัวเขา มันอาจจะทำให้คุณคิดว่าเราไม่น่าจะเจอกันเลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วหากการพบกันของพวกคุณมันคือความรักจริงๆ ที่มาจากความรู้สึกข้างใน ไม่ว่าจะได้มาพบเจอกันใหม่อีกกี่ครั้ง ความรู้สึกที่มีครั้งนั้นมันก็จะยังคงเหมือนเดิม ในวันนี้คุณอาจเกลียดสีผมเห่ยๆ ของเขา เกลียดรอยยิ้มแหยๆ ของเขา เกลียดความน่าเบื่อของเขา แต่หากได้มาเจอกันอีกที คุณก็จะตกหลุมรักคนๆ เดิมนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ดี 9/10Just so into everythingติดตามรีวิวอื่นๆ ได้ที่นี่ https://m.facebook.com/justsointoeverything/ ต่อจากนี้คือช่วงเวลาเม้าความรู้สึกหลังจากดูจบ ใครยังไม่ดูห้ามอ่านเลยนะ เดี๋ยวจะเสียอรรถรส! -เราชอบตั้งแต่ช่วงแรกของหนังเลยที่โจเอลกับน้องส้มเช้งเจอกัน (ขอเรียกชื่อนี้แหละ เราว่ามันเป็นการเรียกกันที่โรแมนติกสุดๆ) เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของแรงดึงดูดจริงๆ ที่ทำให้ทั้งคู่เจอกัน ได้พูดคุยกันอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานานแสนนาน คือหนังสามารถสร้างมู้ดที่ทำให้เรามองมันเป็นเรื่องของพรมลิขิตตั้งแต่เริ่ม (ซึ่งพอเรารู้สตอรี่ปุ๊บก็คือเข้าใจเลยว่าบางทีมันก็ไม่ใช่แค่พรหมลิขิต มันคือเรื่องของหัวใจที่ทั้งคู่เค้ารักกันอยู่แล้ว) -ขั้นตอนลบความทรงจำ ตอนแรกๆ อาจดูน่าเบื่อเพราะกินเวลาไปเยอะพอควร แต่ไปๆ มาๆ เรากลับได้มองเห็นถึงความผูกพันธ์ระหว่างโจเอลและส้มเช้งมากขึ้น เรียกได้ว่าเห็นทั้งช่วงเวลา ups and downs ของทั้งคู่ ตอนที่พวกเขารักกัน ตอนที่พวกเขาเกลียดกัน ความไม่เข้าใจบางอย่าง ความไม่เพอร์เฟคของมนุษย์ทั้งสอง คือเราเห็นทุกอย่างผ่านซีนที่สุดแสนแฟนตาซีอย่างการวิ่งเล่นในความทรงจำ สิ่งที่ชอบมากๆ คือการได้เห็นว่าคนทั้งคู่เกลียดกันขนาดที่อยากจะลืมกันและกันไป แต่สุดท้ายพวกเขาก็รักกันจนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ลืม มันทำให้เราเห็นถึงวิถีของคู่ชีวิต ที่บางทีมันก็มีดีมีร้ายใช่มั้ยล่ะ เราอาจจะเกลียดกันก็จริง แต่หากเราลองใจเย็นขึ้นอีกนิด อย่าได้ผลีผลามทำอะไรที่ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้อีก เราอาจจะมองเห็นความรักที่โดนความเกลียดชังนั้นปกคลุมอยู่ก็ได้ เราว่านี่เป็นอีกสิ่งที่น่าเก็บมาคิดต่อมากๆ -ตอนตัดกลับมาไทม์ไลน์เดิมคือเราตื่นเต้นจริงๆ นะ ร้องเชี่ยยยยในใจดังมาก (ขอโทษค่ะทุกคน55555) คือไม่คิดว่ามันจะมาไกลขนาดนี้อ่ะ ทุกสิ่งที่เกิดตอนต้นเรื่อง ตอนนั้นมันอาจเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ตอนนี้คือมันอิมแพ็คใจไปหมดเลยอ่ะ ยิ่งตอนที่โจเอลตัดสินใจขึ้นรถไฟอีกขบวนคือแบบ เอ้อ เอาใจไปเลยหนังเรื่องนี้ สุดยอดแห่งหนังรักที่แท้ทรู -คิดว่าจะจบแค่นั้นแต่ก็ยัง ซีนฟังเทปเป็นอะไรที่แทงใจเหมือนกัน ขยี้สิบแรงมือจริง ไม่แปลกเลยที่ทั้งคู่จะโกรธกันอีกครั้งหลังจากได้ยินสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างพูดถึงกันในช่วงเวลาที่ใจเต็มไปด้วยความโกรธ แต่สุดท้ายต่างคนต่างกันลดอคติในใจลงได้ อย่างที่บอกว่าถ้าเราคิดว่าในโลกมันไม่มีใครเพอร์เฟคตลอดเวลา อยู่ด้วยกันแล้วชอบกันไปตลอดเวลาป่ะวะ หากเรายอมรับข้อเสียของอีกคนได้ มันก็จะทำให้อยู่ด้วยกันอย่างมีสุขแม้จะไม่เพอร์เฟคอ่ะ มันทำให้เราแอบคิดว่าหรือไอ้เจ้าชื่อเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind มันจะไม่ได้แปลถึงการลืมเลือนอย่างในบทกวีต้นฉบับ แต่อาจจะหมายถึงการที่เราไม่เก็บเรื่องแย่ๆ ของอีกฝ่ายมาเป็น spot ในจิตใจ มันก็อาจทำให้ชีวิตคู่พบเจอแตความสุขอันเป็นนิรันดร์ก็ได้นะ ว่าไปนั่น55555 แต่ก็นั่นแหละ ซีนฟังเทปเป็น MVP ในเรื่องเรื่องเลย ทำออกมาได้เฉียบ คมคายemotional มากจริงๆ -สุดท้ายที่ชอบมากๆ คือการที่แทรกเรื่องของคุณด๊อกเตอร์ แมรี่ แสตน และแพทริคมาด้วย เริ่มจากแพทริคก่อน ไม่ว่าแพทริคจะเลียนแบบคำพูด การกระทำ หรือท่าทางของโจเอลได้เป๊ะขนาดไหนก็ไม่ได้ทำให้ส้มเช้งหันมาชอบเขาอย่างที่เธอชอบโจเอลเลน หนังมันย้ำเราให้ชัดอีกครั้งว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะจำได้หรือจะถูกทำให้ลืม แต่ความรู้สึกจริงๆในใจมันก็ไม่เคยหายไปไหนอ่ะ มันก็จะยังคงรักคนนี้คนเดิมอยู่ดี เหมือนเรื่องราวของแมรี่กับด๊อกเตอร์ ต่อให้เธอจะโดนลบความทรงจำทิ้งไป แต่หัวใจดวงเดิมก็ยังพร่ำบอกเสมอว่ามันตกหลุมรักคนๆ นี้ไปแล้ว เป็น side story ที่เหมือนมาเน้นย้ำประเด็นหลักของหนังได้ลึกลงไปอีกอ่ะ อะไรจะโรแมนติกขนาดนั้นก็ไม่รู้เนอะ ขอบคุณภาพจาก https://www.focusfeatures.com/eternal_sunshine_of_the_spotless_mind