Short CommentCopycat Killer ฆ่าเลียนแบบ (2023)เรื่อยๆ ละเอียด ไม่ขยี้ แต่ค่อยๆทวีความเข้มข้นขึ้นไปพร้อมกับความเรื่อยนั้นจนถึงขีดสุดถ้าจะว่ากันที่ซีรีส์สืบสวนอาจต้องสารภาพว่าดูไปบ่นไปมักจะดูของเกาหลีเพราะส่วนตัวจะดูละครเกาหลีเป็นหลักคือดูทุกวันและพักหลังคือดูแบบออกอากาศสด ผู้เขียนจึงได้ผ่านตางานระดับขึ้นหิ้งของเกาหลีที่ใครๆบอกต้องดูมาเป็นส่วนมากเพราะเมื่อเริ่มต้นดูก็ต้องหาดูงานที่การันตีความยอดเยี่ยมก่อน กระนั้นถ้าท่านที่ตามอ่านกันมานานก็คงพอทราบว่าผู้เขียนเองก็ไม่ได้ละเลยงานจากที่อื่นซึ่งทางฝรั่งนั้นแน่นอนแต่ทางเอเชียก็ยังแวะเวียนไปดูทางญี่ปุ่นอยู่เสมอ แต่ที่ผู้เขียนเข็ดขยาดจนไม่กล้าดูซีรีส์แนวสืบสวนหรือแนวหลอนระทึกจากประเทศหนึ่งทั้งที่ชอบดูงานจากประเทศนี้มากก็คือไต้หวัน เหตุเพราะงานจากไต้หวันจะเก่งในการสร้างสัมผัสทางอารมณ์ความรู้สึกนั่นคือสามารถเล่าเรื่องให้กัดกินความรู้สึกคนดูได้ด้วยศักยภาพการสื่อสารด้านภาพผ่านบรรยากาศและบทที่ค่อนข้างละเอียดจนทำให้กดอารมณ์จนไม่บันเทิงใจ แต่กับเรื่องที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ที่ผู้เขียนกล้ามาพิสูจน์อีกครั้งเพราะนี่คือการสร้างจากหนังสือขายดีของญี่ปุ่นทำให้ท้าทายว่าเมื่อการเล่าเรื่องแบบไต้หวันกับการผูกเรื่องที่มักจะน่าทึ่งเสมอของทางญี่ปุ่นจะมีดีแค่ไหนกั๋วเสี่ยวฉี (อู๋คังเหริน) คืออัยการตงฉินที่สืบคดีโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้นจนมีฉายาว่าฉีจอมจิกแต่ด้วยผลงานก็ทำให้เบื้องบนของสำนักงานอัยการไม่กล้าทำอะไรเขา วันหนึ่งกั๋วเสี่ยวฉีได้ทำคดีที่มีมือลึกลับถูกตัดมาทิ้งไว้ที่สวนสาธารณะและเขาเริ่มปะติดปะต่อเชื่อมโยงกับคดีเก่าๆที่มีหญิงสาวหายไปและหนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิทของนักข่าวลู่เหยียนเจิน (แคมมี เฉียง) แล้วก็พบว่าเป็นการฆาตกรรมต่อเนื่อง ทางสำนักงานอัยการจึงตั้งทีมพิเศษขึ้นมาเพื่อสืบสวนแต่ก็เหมือนคนร้ายย่ามใจและก่อเหตุได้เรื่อยๆ ที่สำคัญคือร้ายใช้ความรู้สึกของสังคมผ่านรายการรายงานข่าวได้รับความนิยมกับการโทรศัพท์สายตรงเข้ารายการของผู้ประกาศเหยาหย่าซือ (รูบี หลิน) มาเป็นตัวแปรทำให้ยิ่งทำงานยาก ทว่าอัยการกั๋วคือคนที่ละเอียดและหมกมุ่นจนทำให้ชีวิตไม่สมดุลแต่ผลที่ออกมาคือไม่มีอะไรหลุดรอดสายตาเขาไปได้ กระทั่งอัยการกัํวสืบจนพบว่าฆาตกรเป็นใครก็ดันไปพัวพันกับน้องชายของอดีตคนรักของเขาหูหยุนฮุ่ย (เคอเจียเหยิน) นักจิตวิทยาที่เป็นเหมือนที่ปรึกษา จนเมื่อคดีคลี่คลายกั๋วเสี่ยวฉีกลับพบว่าสิ่งที่เป็นไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นการเล่าเรื่องที่เหมือนไปเรื่อยๆค่อยๆเก็บชิ้นส่วนด้วยความละเอียดทวีความเร้าใจไปตามเข็มนาฬิกาที่ผ่าน สิ่งหนึ่งที่งานจากไต้หวันจะต่างจากงานจากจีนหรือฮ่องกงคือการไม่พยายามเร่งหรือบีบแต่เลือกกำหนดบทออกมาให้ละเอียดมีชิ้นส่วนเล็กน้อยให้เก็บ นั่นหมายความว่าความหวือหวาทางอารมณ์จะไม่มีทั้งที่บทมีช่องมากมายให้ขยายความจนความรู้สึกคนดูไปไกลมากกว่าที่เป็นแต่เลือกที่จะไม่ทำ ที่ชัดเจนเลยคือเรื่องนี้ไม่ทิ้งน้ำหนักไปที่การฆาตกรรมหรือใช้ภาพที่สยดสยองมาเล่นกับอารมณ์คนดูมากนักแต่เลือกใช้ชิ้นส่วนในการสืบคดีที่เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆที่ถ้าเผลอทำหายก็ไร้ค่า หรือจะเรียกว่าไม่กระชากอารมณ์แต่กระชากใจเมื่อพร้อมจะทำร้ายจิตใจคนดูไม่ว่าจะเป็นใครหรือตัวละครไหน แน่นอนเมื่อชิ้นส่วนถูกเก็บครบในแบบที่บางทีก็ต้องจับจ้องทุกวินาทีก็พร้อมจะทวีความเข้มข้นเร้าใจขึ้นไปเรื่อยๆเพราะการสืบคดีเริ่มคืบคลานเข้าใกล้โดยที่บทก็ไม่รีรอที่จะเปิดตัวร้ายออกมาจนคิดว่าเร็วเกินไปแต่ที่เป็นกลับไม่ใช่ที่เป็น จนสุดท้ายความเข้มข้นเร้าใจก็ไปถึงจุดเดือดในท้ายที่สุดได้อย่างน่าทึ่งเพราะที่ผ่านมาเหมือนจะเรื่อยๆปานนั้นยังคงโดดเด่นด้านการเก็บเกี่ยวความรู้สึกมากดอารมณ์โดยไม่ต้องขยี้ที่เป็นเอกลักษณ์ร่วมของไต้หวันกับญี่ปุ่น อีกสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของงานจากไต้หวันนอกจากการค่อยๆเล่าเรื่องเก็บรายละเอียดแล้วงานไต้หวันจะไม่ขยี้อารมณ์ นั่นคือจะเก็บเกี่ยวความรู้สึกคนดูผ่านความรู้สึกของตัวละครด้วยการแสดงหรืองานด้านภาพมุมกล้องบรรยากาศแสงและเสียง ซึ่งยิ่งดูมากเข้าจะยิ่งรู้สึกว่าเทคนิคเหล่านี้คล้ายกับงานจากญี่ปุ่นมากจนเหมือนเวลาของชั้นเชิงแบบนี้ของงานจากไต้หวันและญี่ปุ่นถูกหยุดไว้ไม่ให้ความวูบวาบและการบีบคั้นที่เรียกกันว่าขยี้มาครอบงำ เช่นเรื่องนี้อารมณ์คนดูจะถูกกดด้วยความรู้สึกที่มีกับบทที่ถูกกำหนดให้เป็นอย่างนั้นด้วยแรงจูงใจของการฆาตกรรมที่ทำให้ขึ้งโกรธชิงชังและเห็นใจคนข้างหลังของเหยื่อที่ถูกทำร้ายโดยวิธีต่างๆนาๆและในที่นี้คือการใช้สื่อมาทำร้ายความรู้สึกตัวละครและคนดูก็รู้สึกว่าโดนทำร้ายไปด้วย รวมถึงงานด้านภาพที่ออกมาหม่นมืดชื้นแฉะจนอึดอัดกดดันมากกว่าจะใช้ความสยดสยองมาเร่งเร้าอย่างที่ว่า ทำให้อารมณ์ที่ดำดิ่งมาจากความรู้สึกของคนดูที่ไปมีส่วนร่วมกับสิ่งที่ตาเห็นและใจสัมผัสการเล่าเรื่องในยุค 90 ทำให้บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมออกมาใช่และถือโอกาสก่นด่าสื่อมวลชนยุคนั้นได้อย่างเจ็บแสบ ด้วยความเป็นยุคทองของรายการข่าวที่คนเคยผ่านยุคนั้นมาจะรู้ว่าโทรทัศน์มีอิทธิพลแค่ไหนเพราะเมื่อสมัยนั้นผู้เขียนเองก็ติดรายการข่าวประมาณนี้งอมแงมเช่นกัน ซึ่งถ้าคนสมัยใหม่ที่เกิดไม่ทันยุคนั้นจะไม่เข้าใจว่าผู้ประกาศข่าวหรือพิธีกรมีอิทธิพลแค่ไหนต่อคนดูในยุคที่ข่าวสารไม่ได้ไวปานลัดนิ้วมือเหมือนทุกวันนี้ แล้วเมื่อเรื่องนี้เล่นในมุมของการใช้สื่อโทรทัศน์ที่มีคนดูมากมาเป็นเครื่องมือสิ่งที่ต้องการจะกระชากหน้ากากสื่อมวลชนยุคนั้นที่กลายสภาพจากมนุษย์ที่มีจิตสำนึกมีจรรยาบรรณมาเป็นอีแร้งที่พร้อมจิกกินซากสัตว์เน่าเหม็นเพื่อเรียกเรตติ้งเพราะการแข่งขันยุคนั้นสูงจริง สัมผัสของคนที่เคยผ่านยุคนั้นมาอย่างผู้เขียนจึงรู้สึกว่าเรื่องแบบที่เห็นมันมีจริงและเคยเกิดขึ้นจริงเพียงแต่ไม่อาจลงรายละเอียดได้และมีชีวิตคนมากมายที่ถูกทำร้ายผ่านอิทธิพลของสื่อในสมัยนั้น แล้วเมื่อฆาตกรกลายเป็นคนดังเพราะเมื่อควบคุมสื่อได้ก็ความคุมมวลชนได้ก็คือการก่นด่าได้อย่างเจ็บแสบและแม้ในวันนี้เรื่องแบบนี้หายไปหรือยัง....ทุกคนล้วนมีอะไรในใจทำให้ตัวละครเหมือนต้องเก็บกดแต่นักแสดงจัดการได้หมดจดทุกคน เพราะบทเลือกใช้ความรู้สึกมานำหน้าเพื่อสร้างอารมณ์ตัวละครที่รับผิดชอบความรู้สึกที่ต่างกันจึงมีเรื่องราวของตัวเองที่เป็นปมทั้งทางฝั่งดีและฝั่งร้าย แต่สิ่งที่เป็นคือนักแสดงมากมายที่มารับผิดชอบจัดการได้หมดจดทุกคนเพราะสิ่งที่ต้องเก็บไว้บางคนก็เป็นความลับที่ไม่กล้าบอกใครบางคนก็ไม่รู้ตัวเองว่าเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ยังไม่ต้องไปเอ่ยถึงการซ่อนเร้นตัวร้ายที่เหมือนการเอาล่อเอาเถิดกับสมองคนดูกลายๆ แล้วนักแสดงอย่างอู๋คังเหริน,แคมมี เฉียง,เคอเจียเหยิน,ตู้ซางหัว,รูบี หลินและคนอื่นอีกมากมายก็คือการรับผิดชอบมิติที่ต้องเก็บอะไรไว้แล้วเผยในบางแง่มุมออกมาโดยที่ยังมองเห็นอะไรที่อยู่ในใจแต่จะร้ายหรือดีก็แล้วแต่ตัวละคร โดยเฉพาะอู๋คังเหรินในบทอัยการตงฉินที่ทำงานจนชีวิตเหมือนเหลือแค่มุมเดียวกับเคอเจียเหยินในบทหูหยุนฮุ่ยนักจิตวิทยาที่เหมือนเป็นที่ปรึกษาแต่ก็เห็นมุมของการเป็นที่พักพิงทางใจโดยไม่ต้องแสดงออกมา ทำให้ในงานที่เล่นกับความรู้สึกคนดูผ่านความรู้สึกตัวละครแบบนี้ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมนี่คืองานที่อาจเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมถ้าว่ากันที่ด้านการจับความรู้สึกเป็นตัวประกันทำให้น่าติดตาม เพราะเมื่อคนดูรู้สึกไปกับตัวละครรู้สึกไปกับภาพที่เห็นรู้สึกอึดอัดไปกับบรรยากาศที่หม่นมืดชื้นแฉะอารมณ์จะมาหมด อาจเพราะนี่คืองานที่สร้างจากบทประพันธ์ของทางญี่ปุ่นแถมยังคงความเป็นไต้หวันอยู่เต็มที่อาการเร่งเร้าเลยไม่รุนแรงแต่ใช้วิธีเก็บเกี่ยวความรู้สึก เพราะคนดูจะเริ่มสงสัยในตอนแรกและยิ่งสงสัยจนเมื่อจับเอาชิ้นส่วนของคดีมาประกอบกันก็จะเพิ่มดีกรีความสงสัยว่าคดีเหล่านี้จะถูกคลี่คลายอย่างไร เท่ากับว่าความเร้าใจที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นจนถึงจุดเดือดเมื่อควบคุมอะไรไม่ได้นั้นไม่ได้มาจากการขายฉากฆาตกรรมเลือดสาดนองพื้นแต่ก็ใช่ว่าไม่มียังมีบ้าง เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งในการดึงความรู้สึกเพื่อกดอารมณ์เท่านั้นหาใช่จุดขายไม่ เพราะสิ่งที่เสนอออกมาจะมีความรู้สึกตามมาเสมอหรืออาจจะเรียกได้ว่าทุกคดีฆาตกรรมล้วนมีเรื่องราวให้เล่าของตัวเอง หรือจะเรียกว่าเหยื่อทุกคนมีเรื่องเล่าของตัวเองที่มีมิติจนอาจทำให้หลายคนเสียน้ำตาไปกับซีรีส์สืบสวนฆาตกรต่อเนื่องเรืองนี้ จึงเป็นงานดีที่ไม่ควรพลาดเพราะมีแค่สิบตอนกำลังพอดีดูไปบ่นไปขอบคุณภาพปรพกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram copycatkillernetflixเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ๆ App TrueID โหลดฟรี!ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/mMPW1KkzG4R3https://entertainment.trueid.net/detail/VA9g4nEP6OMRhttps://entertainment.trueid.net/detail/XQ7dDBWP6EDnhttps://entertainment.trueid.net/detail/LwOoz8zZkDKw