Short Comment The Adam Project : ย้อนเวลาหาอดัม (2022)นับตั้งแต่ Deadpool ออกมาโชว์มาดเกรียนและกวนในปี 2016 ชื่อของ Ryan Reynolds ก็กลายมาเป็นเบอร์ต้นๆของฮอลลีวูดที่ชื่อขายได้ แล้วสิ่งที่ตามมาคือพลังต่อรองที่เมื่อชื่อขายได้พลังดาราก็มาบารมีก็เบ่งบาน แต่ทว่าสิ่งที่ติดตามมาจากบทบาทที่เหมือนเป็นบทพลิกชีวิตของนักแสดงแทบทุกคนนั่นคือบุคลิกและภาพจำในสมองของผู้ชม ซึ่ง Ryan Reynolds ก็ไม่ต่างกันเมื่อความเกรียน กวน Teen และช่างจ้อก็ติดตัวเขามาจนไม่ต่างจาก Deadpool มาแสดงเป็น Ryan Reynolds แต่เมื่อมันขายได้ใครจะสน ความเกรียนๆกวนๆจึงกลายเป็นจุดขายที่ทำให้ Ryan Reynolds มีอิทธิพลในการขายจินตนาการของเขาผ่านงานหนังเรื่องต่อๆมา และที่น่าสนใจคือเหมือนกับ Ryan Reynolds จะถูกชะตากับ NETFLIX จึงได้ร่วมทำโปรเจกต์หนัง NETFLIX Films มาแล้วสองเรื่องคือ 6 Undergroud (2019) และ Red Notice (2021) และแน่นอนว่าชื่อของเขาสามารถดึงนักแสดงแถวหน้าให้มาร่วมงานได้จนมาถึงหนังใหม่เรื่องนี้ที่มีทั้ง Mark Ruffalo Jennifer Garner Zoe Saldana และ Catherine Keener มาร่วมจอในหนังที่เห็นชัดๆว่าตั้งใจมาขายความสนุกดูได้ทุกเพศทุกวัยเรื่องใหม่เรื่องนี้เปิดมาที่การขับยานบินหลบหนีการไล่ล่าของ Adam (Ryan Reynolds) ที่รอดมาได้หวุดหวิดด้วยการข้ามเวลามายังอดีตที่มี Adam (Walker Scobell) อยู่อีกคนแต่เป็นวัยเด็ก ใช่แล้ว Adam ในวัย Adult ย้อนอดีตมาเพื่อตามหาภรรยา Laura (Zoe Saldana) ที่ในอนาคตที่เขาจากมา Laura เสียชีวิตจากการข้ามเวลาแต่ Adam ไม่ปักใจเชื่อ จนเมื่อมาถึงอดีตที่มี Adam อีกคนที่เป็นอดีตของตนเองจึงต้องร่วมมือกันแก้ไขอดีตที่จะก่อให้เกิดอนาคตที่ Adam ต้องเจอ โดยที่ Adam กับ Adam ต้องย้อนเวลากลับไปในปี 2018 เพื่อไปหาพ่อของ Adam (Mark Ruffalo) ผู้ค้นคิดทฤษฎีการข้ามเวลา และตั้งชื่อโครงการว่า The Adam Project แต่ Adam และ Adam กับพ่อของ Adam ก็ต้องเจอกับการขัดขวางของมนุษย์ป้า Maya (Catherine Keener) ผู้ที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ และเป็นผู้มีอิทธิพลในอนาคตของ Adam แล้วพ่อลูกสองคนครึ่งก็ต้องยับยั้งการโกงกฎธรรมชาติครั้งนี้ให้ได้พร้อมกับการเรียนรู้ซึ่งกันและกันในความรักที่มี และเรียนรู้ความเป็นตัวเองตามสูตรถ้าว่ากันที่ตัวหนังที่มีเวลาฉายประมาณเก้าสิบนาที เรื่องนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในการขายความสนุกผ่านความคุ้นตา เพราะตั้งแต่ต้นจนจบความรู้สึกผู้ชม (ผู้เขียนและลูกชายคนเล็ก) จะรู้สึกว่าเหมือนกับการเอาของเล่นต่างๆนาๆประดามีมาเล่นสนุกตามจินตนาการแบบเด็กๆ จึงเห็นชัดเจนว่ามาการหยิบเอาชิ้นส่วนต่างๆที่เคยได้ผ่านตามาเล่นโดยมีโครงเรื่องของการย้อนเวลาไปแก้ไขอดีตและได้เรียนรู้ผ่านบทเรียนที่ต้องฝ่าฟันกันมา ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหมือนเป็นจินตนาการแบบเด็กๆที่หยิบเอายานอวกาศ ไลท์เซเบอร์ ปืนผาหน้าไหม้ ปืนเลเซอร์มาเล่นโดยที่จินตนาการเป็นเรื่องราวมันคือความสนุก และเด็กๆหรือกระทั่งคนเคยเด็กจะเคยผ่านจินตนาการแบบนั้นมา สัมผัสนั้นก็ทำให้ความเป็นเด็กที่ซ่อนเร้นในตัวผู้ใหญ่ที่ได้ดูได้ออกมาโลดแล่น และแน่นอนถูกพลังของอารมณ์ถวิลหาผ่านความสนุกวูบวาบบนจอตรึงเอาไว้ได้หรือกระทั่งการหยิบเอาสิ่งที่เคยผ่านหูผ่านตามาอย่างเรื่องการย้อนเวลาที่เหมือนล้อเล่นกับ Back To The Fture หรือฉากหลายๆฉากที่เหมือนหยิบเอาชิ้นส่วนในหนังต่างๆมาเล่นอย่างการดวลไลท์เซเบอร์ที่ไม่มีทางที่จะไม่คิดถึง Star Wars หรือจะด้วยบทสนทนาที่ทั้งกวนทั้งคันตามสไตล์ Ryan Reynolds ที่หยิกนู่นกัดนี่นั่นนิดนี่หน่อยทำให้มีทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ซึ่งผู้เขียนและสมาชิกที่บ้านดูเสียงภาษาอังกฤษเลยจับได้แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าพากย์ไทยจะจิกได้คันขนาดไหน ประกอบกับเรื่องเล่าด้วยความง่ายไม่ได้ซับซ้อนในการเล่าเรื่องไม่ได้พลิกผันจนยากเกินคาดเดา หนังจึงเป็นความบันเทิงที่ย่อยง่ายถ่ายคล่องเพราะการดูไปก็เหมือนการเล่นสนุกไปเรื่อยๆจนถึงจุดสุดท้ายที่ทุกคนก็รู้ว่าจะเป็นเช่นไร เรื่องเลยออกมาสนุกแต่ด้วยความที่ตั้งใจเล่นสนุกเกินไปก็ทำให้สัมผัสบางอย่างดูไม่กระแทกใจได้นัก แม้ว่าตัวบทจะค่อนข้างดีไม่มีรอยโหว่ให้เห็นชัดนักเรื่องของการเชื่อมโยงเหตุการณ์ เรื่องทฤษฎี หรือเรื่องความสัมพันธ์ แต่ความที่เรื่องเล่าไปข้างหน้าด้วยการเล่นสนุกและเร็วก็เลยทำให้สัมผัสที่จะขายเรื่องของการเรียนรู้ตัวเอง หรือการได้รู้มิติทางใจของพ่อกับแม่มันยังโดนนะแต่ไม่เข้าจุดโฟกัส เลยไม่ได้ถึงกับซาบซึ้งมากมายแต่อย่างน้อยก็สัมผัสได้ อีกอย่างคือเรื่องนี้เป็นหนังตามสูตรเกินไปไม่มีอะไรที่พลิกผันเดินตามถนนเป็นเส้นตรงเป๊ะ ทั้งสูตรของเรื่องแนวนี้และสูตรของความเป็นหนัง Ryan Reynolds ที่จะต้องเกรียน กวน ช่างจ้อ ปะทะคารม ซึ่งความจริงมันก็สนุกที่ได้เห็น Ryan Reynolds ในวัยผู้ใหญ่ทุ่มเถียงกับ Ryan Reynolds วัยเด็กเรื่องของตัวเองในอดีตและอนาคต และที่น่าชมคือแม้จะกวนอวัยวะเบื้องต่ำแต่ไม่มีอะไรหยาบคายเกินกว่าที่เยาวชนจะดูได้เลยแต่ที่น่าเสียดายที่สุดคือการใช้นักแสดงไม่คุ้ม เมื่อนี่คือหนังที่มีนักแสดงที่คุ้นชื่อคุ้นหน้ามากมาย และอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่แต่ละคนก็ต่างอยู่ในจักรวาล MARVEL ทั้งตัว Ryan Reynolds เอง Mark Ruffalo , Zoe Saldana หรือกระทั่ง Jennifer Garner ที่หลายคนอาจไม่รู้ว่าเธอเคยรับบท Electra มาแล้ว ซึ่งด้วยความที่หนังเล่าเรื่องของ Adam กับ Adam เป็นแกนหลักเลยต้องเกลี่ยบทให้แต่ละคนมีเวลาของตัวเอง และก็ถือว่าทำได้ดีพอตัวเพียงแต่มันยังไม่พอให้เข้าไปนั่งในใจผู้ชมเท่านั้น ทำให้ผู้ชมกลายเป็นผู้สังเกตการณ์ไปอย่างเต็มรูปแบบโดยที่ไม่รู้สึกผูกพันอะไรกับตัวละครเลย ซึ่งมันก็คือความน่าเสียดายสรุปคือหนังเรื่องนี้ถ้ามองกันที่เป็นหนัง NETFLIX Original นี่ก็คือหนังที่น่าประทับใจ เพราะหนังมีเจตนาชัดให้เป็นความบันเทิงในชายคาบ้าน เป็นความบันเทิงง่ายๆไม่ต้องซับซ้อน เป็นความบันเทิงที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย เป็นความบันเทิงที่มีไว้ให้เปิดดูกันทั้งครอบครัวหลังมื้ออาหารค่ำ ซึ่งสิ่งที่ง่ายที่สุดที่จะให้ทุกคนบันเทิงได้เหมือนกันนอกจากความง่ายก็คือสิ่งที่เคยใช้ได้ผลมาแล้ว จึงเป็นที่มาของการหยิบจับอะไรมากมายมาเล่ามาเล่น หรือจะรวมถึงอารมณ์ความเป็นเด็กเล่นของเล่นที่ถ้าเล่าได้มันจะปลุกจินตนาการความเป็นเด็กในคนทุกวัยออกมาได้ เพราะทุกคนต่างมีความเป็นเด็กอยู่ข้างในเพียงแต่จะมองเห็นหรือจะสัมผัสมันได้หรือไม่ เพราะในโลกแห่งความจริงไม่สามารถย้อนเวลากลับไปเรียนรู้บทเรียนชีวิตร่วมกับตัวเองในวัยเด็กได้เหมือนกับ Adam ที่ย้อนไปผจญภัยกับ Adam และนี่คือหนังที่ตั้งท่ามาขายความบันเทิงแล้วก็บันเทิงจริงดูสนุกกันทั้งบ้านโดยดูไปบ่นไปNETFLIXขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 จาก Twitter Netflix Japanภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 จาก Instagram vancityreynolds ภาพที่ 5 จาก Facebook Netflixอัปเดตบทความรีวิวภาพยนตร์ใหม่ ๆ สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !