ปกติอ้อมมีหนังในดวงใจอยู่จำนวนนึงค่ะ ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้อยู่ในลำดับต้นๆ เลย ตัวหนังอาจจะไม่ได้แอคชั่นโครมคราม ไม่ได้มียอดมนุษย์ ไม่ได้บู๊ล้างผลาญ แต่ในความเนิ่บๆ เรื่อยๆ ของหนัง กับสร้างความประทับใจให้อ้อมตลอดเวลา ต้องบอกก่อนเลยว่า Green Book เป็นหนังที่ทำให้เรารู้สึกทั้งอบอุ่นและลุ้นไปพร้อมๆ กัน แต่ก็แอบฮาไปด้วยแบบไม่รู้ตัว (จะไม่ให้ฮาได้ยังไงล่ะ ก็มี Tony Lip สายเถื่อนผู้หยาบกระด้าง กับ Dr. Shirley นักเปียโนสุภาพเรียบร้อยที่ขัดกันแบบสุดๆ!) เนื้อเรื่องหลักของหนังคือการเดินทางข้ามรัฐในอเมริกายุค 60s ระหว่างชายสองคนที่แตกต่างกันสุดขั้ว ทั้งในเรื่องสีผิว ฐานะ การศึกษา และบุคลิก นึกถึงถ้าจะเอาคนอย่าง Tony Lip ที่เป็นบอดี้การ์ดสุดแกร่ง พูดจาโผงผาง กับ Dr. Shirley นักดนตรีคลาสสิกผู้สง่างามและเคร่งครัดมาอยู่ด้วยกันในรถคันเดียวเป็นเวลานานๆ มันคงไม่รอดชัวร์ๆ แต่กลายเป็นว่าการเดินทางครั้งนี้เปลี่ยนชีวิตพวกเขาทั้งสองคนไปเลย สิ่งที่อ้อมชอบมากที่สุดคือการที่หนังแสดงให้เห็นว่ามิตรภาพไม่มีขีดจำกัดจริงๆ ไม่ว่าจะต่างกันแค่ไหน สุดท้ายแล้วถ้าทั้งสองคนยอมเปิดใจ เรียนรู้และเคารพซึ่งกันและกัน ความแตกต่างพวกนั้นก็จะหายไปเอง ฉากที่ Dr. Shirley ช่วย Tony เขียนจดหมายหวานๆ ให้ภรรยานี่ทำให้อ้อมเขินแทนเลย! ทั้งฮาทั้งซึ้งในเวลาเดียวกัน ส่วน Tony ก็เรียนรู้ที่จะปรับตัวให้สุภาพขึ้น แล้วการที่เขาเลือกจะปกป้อง Dr. Shirley จากเหตุการณ์ที่ไม่ยุติธรรมทางเชื้อชาตินั้นก็ทำให้อ้อมรู้สึกว่าเขามีความเป็นคนดีลึกๆ อยู่มาก อีกสิ่งหนึ่งที่หนัง Green Book ทำให้เราคิดคือเรื่องของความเท่าเทียม การที่คนคนหนึ่งจะถูกตัดสินจากเชื้อชาติหรือฐานะทางสังคมมันน่าเศร้าเนอะ ในยุคนั้นคนผิวดำยังถูกกดขี่อย่างหนัก แต่ Dr. Shirley เองก็ไม่ยอมแพ้ เขาสู้และใช้พรสวรรค์ด้านดนตรีของเขาเพื่อให้โลกเห็นว่าเขามีคุณค่า หนังสะท้อนให้เห็นว่าความยุติธรรมและความรักต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด หลังทริปการเดินทาง – มิตรภาพที่คาดไม่ถึง หลังจากทริปการเดินทางอันแสนยาวนานผ่านไป Tony Lip กับ Dr. Shirley ก็กลายเป็นเพื่อนซี้กันแบบที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลย! จากที่เคยเป็นคนแปลกหน้าที่แทบจะกัดกันตลอดทาง กลายเป็นว่าทั้งสองคนช่วยกันเปลี่ยนแปลงมุมมองชีวิตของกันและกันไปตลอดกาล Tony ซึ่งเคยเป็นคนหัวร้อน พูดจาโผงผาง ไม่สนใจใครนอกจากตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นคนที่ละเอียดขึ้นเยอะ เขาเรียนรู้จาก Dr. Shirley ว่าการใช้คำพูดให้สุภาพและชั่งใจบางครั้งก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้จริงๆ ไม่ใช่แค่จะบวกกันลูกเดียว (แถมเมียของเขายังปลื้มมากที่ Tony เขียนจดหมายถึงเธอได้ซึ้งขนาดนั้น ก็ได้ Dr. Shirley ช่วยนี่นา!) ในทางกลับกัน Dr. Shirley ที่เคยเก็บตัว ไม่ค่อยเชื่อใจคนอื่นเท่าไหร่ ตอนนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้างแล้ว การได้รู้จัก Tony ทำให้เขารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะตัดสินเขาจากสีผิวหรือสถานะทางสังคม บางคน อย่าง Tony นี่แหละ แม้ตอนแรกจะดูหยาบๆ หน่อย แต่ลึกๆ เขาก็เป็นคนดีที่พร้อมจะยืนเคียงข้างในยามคับขัน Dr. Shirley รู้สึกขอบคุณที่มีเพื่อนแบบ Tony คอยอยู่เคียงข้าง หลังจากทริปนั้น ทั้งสองคนก็ยังคงติดต่อกันบ่อยๆ Tony มักจะโทรไปหา Dr. Shirley เพื่ออัพเดทชีวิตในแบบของเขา เช่น "วันนี้ฉันกินพิซซ่าร้านเดิม แต่ยังไม่อร่อยเท่าน้ำแกงของนายเลย!" ส่วน Dr. Shirley ก็จะมีแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เวลาฟังเรื่องตลกๆ จาก Tony แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยหัวเราะง่ายๆ ก็ตาม แต่กับ Tony แล้ว มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ Dr. Shirley หัวเราะออกมาได้ทุกครั้ง ทุกครั้งที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ Tony มักจะนึกถึงคำสอนของ Dr. Shirley และกลับกัน Dr. Shirley ก็เรียนรู้ที่จะปล่อยวางมากขึ้น มิตรภาพของทั้งสองคนไม่ได้จบลงแค่ทริปนั้น แต่เป็นมิตรภาพที่ค่อยๆ เติบโตและลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเพื่อนแท้ที่คอยช่วยเหลือและเข้าใจกันในทุกช่วงเวลาของชีวิต ความประทับใจจากหนัง สิ่งที่อ้อมประทับใจมากๆ คือการเดินทางที่พาเราไปสำรวจความเป็นมนุษย์ ความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในตัวละครทั้งสองคน มันไม่ใช่แค่เรื่องของมิตรภาพหรือการเรียนรู้เรื่องเชื้อชาติ แต่มันคือการค้นพบตัวตนของพวกเขาเองไปด้วย ทั้ง Tony ที่ค้นพบว่าการเปิดใจจะพาเขาไปในที่ที่ดีขึ้น และ Dr. Shirley ที่พบว่าบางครั้งการให้คนอื่นช่วยเหลือก็ไม่ได้ทำให้เราดูอ่อนแอ สุดท้ายนี้ ถ้าใครยังไม่ได้ดู Green Book อ้อมขอแนะนำสุดๆ เลยค่ะ เพราะมันทำให้เราได้หัวเราะ ได้ซึ้ง และได้กลับมาคิดถึงเรื่องราวในชีวิตตัวเองว่า “เราปฏิบัติต่อคนรอบข้างยังไง? เราเคยปิดกั้นใครเพราะความแตกต่างของเขารึเปล่า?” อ้างอิง ภาพจาก Facebook Green Book ภาพที่ #1 / ภาพที่ #2 / ภาพที่ #3 / ภาพที่ #4 / ภาพหน้าปก จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !