Special Short CommentTwenty Five Twenty One (2022)นาฮีโด - แพคอีจิน ความรักทำให้คนเติบโตส่วนหนึ่งที่ทำให้ดูไปบ่นไปยัง Move On จากละครเรื่องนี้ไม่ได้อาจเพราะผู้เขียนได้เคยผ่านเวลาช่วงนั้นมากับตัวเอง ก็ใช่ที่ด้วยอายุแล้วในเวลานั้นผู้เขียนอาจไม่ใช่วัยไล่ล่าความฝัน หรือวัยที่เปี่ยมไปด้วยแสงสว่างและแรงบันดาลใจเฉกเช่นนาฮีโดกับแพคอีจินและเพื่อนๆ แต่ยุคสมัยที่ว่าก็คือความทรงจำที่ทั้งดีและร้ายที่คนรุ่นผู้เขียนได้เคยผ่านมา และความทรงจำของยุคสมัยนั้นที่อาจบอกได้ว่าแม้บางอย่างถูกยุคสมัยพรากไป แต่ยุคสมัยก็ให้กลับมาบางสิ่งนั่นคือความรักและการฝ่าฟันร่วมกันกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนยาวมาจนวันนี้ที่มิติทางความรักเปลี่ยนไปแล้วจากวันแรกที่เจอกัน ของขวัญที่ล้ำค่าแห่งยุคสมัยที่ได้รับมานั้นคือความรักที่ไม่ใช่รักแรก เพราะในชีวิตคนเรามีรักแรกได้เพียงครั้งเดียวอยู่ที่รักแรกจะกลายเป็นรักแท้และประคับประคองมันมาร่วมกันได้หรือไม่ แต่ชีวิตก็เป็นเช่นนี้รักแรกอาจตราตรึงสวยงามแต่สุดท้ายอาจกลายเป็นแค่ความทรงจำกับใครหลายคนเพราะความลำบากได้หล่อหลอมและเคี่ยวกรำมนุษย์ เช่นเดียวกันความฝันและแรงผลักดันก็สามารถเคี่ยวกรำมนุษย์ได้ ผู้เขียนเองที่มีประสบการณ์ตรงกับการถูกเคี่ยวกรำนั้นจึงมองเห็นความรักของสองคนที่ได้เริ่มต้นและก้าวผ่านปัจจัยทั้งสองอย่างมา แพคอีจินคือคนเคยรวย(ภาษาสมัยนั้น)ที่ต้องกลายมาใช้ชีวิตที่ยากลำบาก ต้องทิ้งความฝันในการเรียนวิศวกรรมและทำงานในองค์การ NASA ส่วนนาฮีโดคือหญิงสาววัยรุ่นวัยฝันที่ทำอะไรไม่ดีสักอย่างนอกจากเล่นกีฬาฟันดาบ แต่อย่างน้อยฐานะที่มั่นคงของแม่ที่เป็นผู้ประกาศข่าวก็ทำให้นาฮีโดยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสมวัยในบางมิติ ได้ไล่ล่าความฝันของตัวเองในทางกีฬาแต่เมื่อชมรมถูกยุบโลกของเธอต้องสลาย เพราะทั้งชีวิตทำอะไรไม่ได้นอกจากการเล่นกีฬาฟันดาบที่เป็นดั่งมรดกทางจิตวิญญาณจากพ่อของนาฮีโด จึงหมายความว่าทั้งนาฮีโดและแพคอีจินต่างถูกยุคสมัยพรากบางอย่างไปแต่ยุคสมัยก็มอบบางอย่างกลับมานั่นคือการพบกันของคนสองวัย ที่คล้ายกันในบางมุมให้ได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดให้กันนั่นคือกำลังใจ ซึ่งก็ทำให้ทั้งสองคนลุกขึ้นมาไล่ล่าความฝันผ่านอุปสรรคมากมายทั้งภาวะการใช้ชีวิตตามยุคสมัย ขนบทางสังคมทีต้องรักษาระยะห่าง แต่ทุกคนรู้ว่าทั้งสองคนไม่รู้ใจตัวเองที่เห็นจากแววตาและกำลังใจที่มอบให้กันในบางลีลามันเกินกว่าแค่คำว่าฉันท์มิตร สุดท้ายเมื่อทุกอย่างมันพังทลายเพราะความรักมันค่อยๆก่อตัวเกาะกุมข้างในทีละน้อย ที่แม้จะรู้ตัวแต่มนุษย์ไม่มีทางสลัดความรักให้หลุดไปได้ การกระทำบางอย่างของแพคอีจินที่ทำเพื่อนาฮีโดอาจปฏิเสธจากปากว่าไม่ใช่แต่หัวใจคนดูปฏิเสธได้หรือไม่ว่านั่นคือความรัก เช่นกันกับการกระทำใดที่นาฮีโดทำเพื่อแพคอีจินทั้งความเห็นใจกำลังใจหรือกระทั่งมอบมุมที่สดใสให้ให้แพคอีจิน ปฏิเสธได้หรือไม่ว่ามันเกิดจากความรักเพียงแต่มิติของความรักมันอยู่ในจุดเริ่มต้นที่คนมักไม่รู้ตัวใช่หรือไม่?แต่สิ่งที่ความรักต้องฝ่าฟันไม่ใช่อุปสรรคที่เป็นปัจจัยภายนอก แต่มันคือปัจจัยภายในที่มาจากยุคสมัยคือการเคี่ยวกรำจากความลำบากและความฝัน เพราะการถูกเคี่ยวกรำไม่ว่าทางใดก็คือการบังคับให้สมองคิดใหญ่เกินตัวแบบเลี่ยงไม่ได้ เท่ากับว่าแพคอีจินถูกยุคสมัยบังคับให้ต้องโตก่อนวัยทั้งที่เขายังเพิ่งพ้นช่วงวัยรุ่ยวัยใสมาก็ต้องกลายมาเป็นใช้ชีวิตที่กร้านโลก ส่วนนาฮีโดนั้นการถูกเคี่ยวกรำจากความฝันและแรงผลักดันทางกีฬาก็บังคับให้ต้องโตก่อนวัยเพราะเรื่องการแข่งขัน ความสามารถที่ไม่ถูกยอมรับ ความคาดหวังของคนในชาติที่สิ้นหวังกับภาวะการใช้ชีวิต หรือสื่อที่ทำให้ความฝันย้อนกลับทำร้ายนาฮีโดจนเกินต้านกับเด็กวัยไม่ถึงยี่สิบ สิ่งที่ต่างฝ่ายต่างได้รับเมื่อสู้ชีวิตแล้วชีวิตสู้กลับก็คือการได้พบเจอพูดคุยได้สลายเรื่องร้ายๆที่เข้ามาด้วยกำลังใจของกันและกัน สุดท้ายต่างก็ต้องยอมรับเพราะมิติของความรักมันเติบโตพร้อมกับการเติบโตในชีวิตของทั้งสองแต่ความรักก็มีมิติทางการเติบโตที่ยากจะเข้าใจ แต่สิ่งแน่นอนคือมิติทางความรักจะทำให้มนุษย์ได้เติบโตผ่านการเปลี่ยนแปลงและสิ่งที่ตกกระทบและวุฒิภาวะ เพราะเมื่อมนุษย์เติบโตผ่านช่วงชีวิตสมองจะสั่งหัวใจให้มองบางสิ่งในบางมุมเปลี่ยนไปในเชิงซับซ้อนขึ้น นั่นคือเมื่อคนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะคิดมากขึ้นมองอะไรละเอียดขึ้น มองเห็นอีกด้านที่ซ่อนอยู่หลังสิ่งที่ตาเห็นด้วยจินตนาการ และคิดว่าด้านหลังสิ่งที่เห็นนั้นต้องเป็นอย่างที่คิดแต่ความจริงไม่มีทางรู้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่หากไม่ลองพลิกดู จึงเป็นที่มาของการคิดมาก คิดซับซ้อน ต่างจากเมื่อยังอยู่ในช่วงวัยที่สดใสไม่ต้องมีมิติทางสมองมากมายใช้แค่มิติทางหัวใจนำทางชีวิต ซึ่งมันก็ไม่ผิดเพราะหากมองย้อนกลับไปจากวัยที่เป็นอยู่ปัจจุบันกับมุมมองในบางสิ่งที่ปรากฎ จะเห็นชัดเจนว่าบางสิ่งมิติทางใจเปลี่ยนไปจากความซับซ้อนของสมอง และที่เลี่ยงไม่ได้คือการมองความรัก จึงไม่แปลกอะไรที่ที่รักแรกจะจบลงที่การร่ำลา แต่มิติที่นำพามาสู่จุดที่ต้องสิ้นสุดก็ต่างกันไปแต่กับนาฮีโดและแพคอีจินกลับเป็นความซับซ้อนทางสมองที่มานำหน้าความง่ายของหัวใจ เพราะเวลาเพียงแค่วินาทีที่ตัดสินใจเอ่ยปากออกมาในวันสุดท้าย หากอ้อมกอดนั้นได้เปล่งวาจาที่ได้เขียนมันลงในไดอารี่ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยน ชีวิตก็อาจจะเปลี่ยน แต่เมื่อมนุษย์ไม่มีทางรู้อนาคตการตัดสินใจที่จะเจ็บปวดเองเพื่อคนที่รัก อันมาจากการคิดแทนอีกฝ่ายก็ได้สร้างความค้างคาในใจและมันเกาะกุมหัวใจคนทั้งสองไปอีกนาน แต่ไม่ว่ายังไงนี่ก็คือชีวิตที่มนุษย์ต้องเป็นเพราะไม่มีอะไรที่ไม่ต้องแลก ไม่มีใครได้ดั่งใจทุกสิ่ง การตัดสินใจของตนเองก็คือสิ่งที่ตนเองต้องแบกรับ และใครจะทราบว่าระยะเวลาหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบันในหัวใจของนาฮีโดและแพคอีจินต้องแบกรับไว้หนักแค่ไหน แต่สุดท้ายกลายเป็นแพคอีจินที่ต้องแลกมากกว่า เมื่อสิ่งที่เขาเลือกได้มอบชีวิตเดิมกลับคืนมาแต่ชิ้นส่วนในชีวิตขาดหายไป กลับกันนาฮีโดมีชิ้นส่วนใหม่เขามาเติมแต่มิอาจอุดช่องว่างที่แพคอีจินทิ้งไว้ กลายเป็นว่าบางครั้งวุฒิภาวะและความซับซ้อนทางความคิดอาจไม่ใช่สิ่งที่ควรนำมาใช้ในบางเรื่อง เพราะบางเรื่องง่ายดีกว่ายากโดยเฉพาะความรักหรือไม่? กระนั้นเรื่องราวยังจบลงด้วยดีจบแบบเข้าใจชีวิตเพราะแม้สองคนจะไม่ได้ครองรักกันจวบฟ้าดินสลายแต่ก็ยังมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน แพคอีจินเจอกับอะไรมากมายในฐานะนักข่าวส่วนนาฮีโดต้องผ่านการแข่งขันระดับสูงได้สั่งสมวุฒิภาวะจากสถานะนักกีฬา แต่วุฒิภาวะที่มนุษย์ใฝ่หากลับสร้างความซับซ้อนจนคิดแทนอีกฝ่ายและไม่กล้าเอ่ยความในใจตน สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องสามัญเมื่อรักครั้งแรกไม่ใช่ที่สุดของชีวิต เหลือไว้เพียงความคิดคำนึงและสิ่งที่ติดค้างในใจที่ต้องยอมรับที่จะแบกไว้ด้วยตัวเองของนาฮีโดและแพคอีจินที่ได้เติบโตจากความรักครั้งนี้ มองในมุมมองต่อมิติทางความรักที่ต่างไปจากวัย(ใกล้)ทองโดยดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 จาก tvN dramaเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !