หลายคนที่กำลังฝึกอ่านภาษาอังกฤษ ต้องขอบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อยากอ่านหนังสือภาษาอังกฤษแต่ดันมีคลังคำศัพท์ในหัวไม่เยอะ หรือ อ่านแล้วแอบไม่เข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์ทำให้ต้องหาซื้อหนังสือฉบับแปลไทยอีกเล่ม วันนี้ผู้อ่านขอแนะนำวรรณกรรมคลาสสิคระดับโลกฉบับสองภาษาเล่มเดียวจบจาก สำนักพิมพ์ แอร์โรว์ ความพิเศษของหนังสือจากสำนักพิมพ์นี้ คือ จะมีสรุปคำศัพท์และสำนวนในทุก ๆ ท้ายบทของฉบับภาษาอังกฤษ ที่จะทำให้เราได้ทั้งความบันเทิงและความรู้ เพราะผู้อ่านเชื่อว่า เมื่อใดเกิดความสนุกในการเรียนรู้ เมื่อนั่นเราจะเข้าใจและดีกว่าการท่องจำอย่างแน่นอนAnimal Farmผู้เขียน : George Orwellผู้แปล : สรวงอัปสร กสิกรานันท์นวนิยายแนวการเมือง ผลงานสุดเกรียงไกรจากปลายปากกาของ จอร์จ ออร์เวลล์ นักเขียนชาวอังกฤษเจ้าผลงานที่ทำให้วงการวรรณกรรมต้องสั่นสะเทื่อนมาแล้วอย่าง 1984 มหานครแห่งความคับแค้น นอกจากนี้ Animal Farm ยังถูกจัดให้เป็นหนังสือที่ต้องอ่านก็ตายที่จัดโดยนิติยสารไทม์ และยังเป็นหนังสือที่ท่านนายกของเราได้แนะนำให้ประชาชนอ่านอีกด้วย เรื่องราวเกี่ยวกับฟาร์มแห่งนึงที่มีเจ้าของเป็นโจนส์ อารมณ์ฉุนเฉียว บทจะร้ายก็ทำทารุณกรรมสัตว์ของตัวเองอย่างโหดร้ายและไร้เหตุผล บทจะดีก็เลี้ยงอาหารอย่างดีให้กับสัตว์ในฟาร์มอย่างดีใจหาย แต่ทว่าบทร้ายของนายโจนส์มักมีให้เห็นเยอะสวนทางกับบทดี ๆ ของนายโจนส์จนทำให้ผู้เฒ่าหมูที่สัตว์ทุกตัวในฟาร์มให้ความนับถือเกิดอาการเหลือทนกับการะกระทำของนายโจนส์ เลยอยากจะใช้พลังสี่ของสัตว์ทุกตัวในฟาร์มต่อต้านกับสองขาของนายโจนส์ขึ้น ! “สิ่งใดก็ตามที่ดำเนินด้วยสองขาคือศัตรู สิ่งใดก็ตามที่ดำเนินด้วยสี่ขาหรือด้วยปีกคือมิตร” ไม่นานนักผู้เฒ่าหมูก็ได้จากอย่างไม่มีวันหวนคืนทิ้งไว้แต่อุดมการณ์และลูกหมูอีกสามตัวที่เป็นแกนนำ ต่อมาพวกหมูก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป... เริ่มเอารัดเอาเปรียบสัตว์ตัวอื่น เริ่มเดินสองขาเหมือนมนุษย์นำมาสู่จุดแตกหักของหมูผู้นำทั้งสองจุดเด่นของเรื่องนี้ นั่นคือเป็นนิยายสั้น ๆ ง่ายๆ แต่อัดแน่นไปด้วยปรัชญาผ่านเหล่าตัวละครสัตว์ที่จะสะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์ จัดได้ว่าเป็นเรื่องเล่าที่พูดกันแมน ๆ ตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมตามแบบฉบับของ จอร์จ ออร์เวลล์ ที่ว่าด้วยเรื่องของความหลากหลายของมุมมองทางการเมือง ที่จะให้ผู้อ่านชวนสงสัยว่าตนนั่นเปรียบเหมือนกับสัตว์ตัวไหน ? และในทุก ๆ ความคิดและมุมมองส่งผลกับทุกตัวละคร ผู้อ่านเป็นผู้ตัดสินเองว่าสมควรแล้วหรือไม่ The Great Gatsbyผู้เขียน: F.Scott Fitzgeraldผู้แปล : ชลลดา ไพบูลย์สินผลงานในตำนานของ เอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ นักเขียนชาวอเมริกันมาดสุภาพบุรุษช่างฝัน เรื่องทั้งหมดถูกเล่าผ่านตัวละคร นิค เศรษฐีหนุ่มที่พึ่งย้ายมาอยู่นิวยอร์ค ผู้ที่เป็นคนกลางของเรื่องทั้งหมด เรื่องมีอยู่ว่านิคย้ายบ้านมาใหม่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านของ ทอม หนุ่มนักกีฬามหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกาและยังเป็นเพื่อนสนิทของนิค ทอมได้แต่งงานเดซี่ (ญาติของนิค) มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน แต่มีข่าวมาว่าทอมได้แอบมีกิ๊กกับเมียของช่างซ่อมรถคนนึง ข้างบ้านของนิคมีบ้านของเศรษฐีใหม่คนนึงที่จัดปาร์ตี้อย่างสุดเหวี่ยงทุกคนคืน อยู่มาวันนึงนิคก็ได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้นั้น ลงชื่อคนชวน ไว้ว่า “คุณแกตสบี้” เมื่อนิคไปถึงงานปาร์ตี้ที่อลังการเต็มไปด้วยผู้คนมากมายแต่เขากลับพบว่าเขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับบัตรเชิญจากแกตส์บี้ ไม่ว่าเค้าจะถามคนในงานกี่คน ก็ไม่มีใครรู้จักแกตส์บี้เลย บุรุษที่เต็มไปด้วยปริศนาแต่แกตส์บี้กลับยอมมาเจอนิค แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเขาให้นิคฟังเพราะไม่อยากให้นิคเข้าใจในตัวของแกตส์บี้ผิด … ด้วยทั้งหมดนี้แกตส์บี้ต้องการให้นิคชวนเดซี่มาดื่มน้ำชากับเขาเพียงเท่านั้น เนื้อเรื่องดูเป็นนิยายรักหวานซึ้ง แต่แฝงไปด้วยคำถามในเรื่องของศิลธรรมอันดีงามในตัวมนุษย์อย่างมากมายจุดเด่นของเล่มนี้คือนอกจากจะเป็นต้นแบบให้กับนิยายแนวรักโรแมนติกให้กับยุคหลัง ๆ มาอย่างยาวนานแล้ว เอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ นั่นไม่อายที่จะตีแผ่ทั้งสองด้านของดินแดนแห่งความฝันอย่างอเมริกาในยุคมนุษย์หลังสงครามอย่าได้ห้ามปามงานปาร์ตี้ผ่านเหล่าตัวละครหลักทั้ง 4 คน เมืองแห่งพันธสัญญาที่ทุกคนเท่าเทียมกันแต่เพราะเหตุใจชะตากรรมของตัวละครกลับสวนทางกัน รักนี้ชั่วนิรันดร์ , มิตรภาพอันแน่นแฟ้น , งานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือความฝันอันหอมหวานที่ไม่มีวันเป็นจริงกันแน่ ? เครดิตรูปปกจากสำนักพิมพ์ แอร์โรว์รูปปกที่ 1 , รูปปกที่ 2 ภาพประกอบทั้งสี่ภาพถ่ายโดยผู้เขียน