สตูดิโอหวังให้ "The Lord Of The Rings" เป็นแฟรนไชส์ที่ปังเทียบเท่ากับ Star Wars
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า New Line Entertainment ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่นำบทประพันธ์ไตรภาค ‘The Lord of the Rings’ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (J R. R. Tolkien) มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์จนประสบความสำเร็จไปทั่วโลก ได้ซื้อสิทธิ์ในการสร้างาภาพยนตร์ ‘The Lord of the Rings’ กลับมาอีกครั้ง
ล่าสุดมี The Hollywood Reporter ได้รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าววงในว่า Warner Bros. Discovery (บริษัทแม่ของ New Line Entertainment) และ Amazon ต้องการผลักดันให้จักรวาล ‘The Lord of the Rings’ นี้ กลายเป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในระดับเดียวกับแฟรนไชส์ ‘Star Wars’
จักรวาล ‘The Lord of the Rings’ นี้ จะเน้นไปที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกของ Middle Earth ตามที่โทลคีนได้บรรยายไว้ในบทประพันธ์ ‘The Hobbit: There and Back Again’ และไตรภาค ‘The Lord of the Rings’ เพื่อเป็นรากฐานในการสร้างภาพยนตร์แยกออกมา ดังที่ Amazon เคยนำมาใช้ก่อนแล้วในการสร้างซีรีส์ ‘The Lord of the Rings: Rings of Power’ ด้วยทุนสร้างมหาศาลเป็นประวัติการณ์
หนึ่งในจุดแข็งมาก ๆ ของแฟรนไชส์นี้คือการที่โทลคีนได้ใส่รายละเอียดและเรื่องเล่ามากมายในหลายเส้นเวาไว้ในโลกอันกว้างใหญ่ของ Middle Earth ที่เขาสร้างขึ้นนี้ ซึ่งเปิดโอกาสให้สตูดิโอนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ได้อย่างไม่ยากเท่าไรนัก ดังที่ Amazon เคยกล่าวเกี่ยวกับการสร้างซีรีส์ ‘The Rings of Power’ ว่ายังมีอะไรให้ค้นหาอีกมาก
นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการรีเมกไตรภาค ‘The Hobbit’ และ ‘The Lord of the Rings’ เพื่อสร้างมุมมองใหม่ ๆ ให้แก่ตัวละคร Gandalf, ชาวเอลฟ์ หรือ Gollum รวมถึงการลงลึกในเรื่องราวเบื้องหลังของ Aragon ก่อนที่จะปรากฏตัวใน ‘The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring’ (2001) ได้อีกด้วย
ด้วยรากฐานและองค์ประกอบที่มีความแข็งแรงนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Warner Bros. Discovery และ Amazon จะต้องการขยายจักรวาล ‘The Lord of the Rings’ ให้กว้างไกลขึ้นเพื่อให้สามารถประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับจักรวาล ‘Star Wars’ ได้ในอนาคตอีกด้วย