หายหน้าหายตาไปนานกับ Bad boy ซึ่งห่างจากภาคสองถึง 17 ปี ถ้าใครคิดว่าเริ่มติดตามตั้งแต่ตอนนั้นคงได้คิดว่าลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว แต่เปล่าเลย หนังมันทำได้ดีชนิดที่ว่าลืมไม่ลงทีเดียว นับตั้งแต่ภาคสองในชื่อ Bad Boys II ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2003 ส่วนภาคแรกต้องย้อยวัยกันนานหน่อยไปปี 1995 เมื่อ 25 ปีก่อน โดยทั้ง 2 ภาคแรกเป็นผลงานสร้างชื่อให้กับ ไมเคิล เบย์ ที่ได้ วิล สมิธ และ มาร์ติน ลอว์เรนซ์ ดาราผิวสีชื่อดังแห่งยุคทองตอน 90s มารับบทคู่กันในหนังคู่หูตำรวจที่เคมีแสดงได้โคตรเข้ากัน ที่ทั้งบู๊และสร้างเสียงหัวเราะได้แบบพุงอันน้อย ๆ ได้กระเพื่อมเลยทีเดียว แสดงดีจนเข้าตาหลาย ๆ คนรวมถึงผมด้วย แต่ตอนนั้นดูย้อนหลังเอานะ เพราะ 1995 นี่ผมยังนั่งดูการ์ตูนช่อง 9 อยู่เลย และแน่นอนมีแฟนพันธุ์แท้ของแฟรนไชส์อยู่ไม่น้อยที่รอคอยการกลับมาของทั้งคู่เรื่องย่อ สำหรับภาคนี้ Bad Boys For Life หรือภาค 3 นี้ต้องบอกว่า หนังได้ใช้ ผ่านไป 25 ปี ซึ่งก็คือใช้เวลาจริงกันเลยทั้งนอกจอและในจอ จากภาคก่อนที่ตัวละครเปลี่ยนวัยล่วงสู่ช่วงเกษียณได้ดีเยี่ยม ทั้งวิถีคิดเปลี่ยนไป และทั้งโลกยุคใหม่ที่ไปไวจนทอดทิ้งคนสูงวัยไว้เบื้องหลังเร็วยิ่งขึ้น เทคนิคสอบสวนลุยที่เข้าไปบวกกับผู้ร้ายนั่น นั่นเริ่มคร่ำครึ ถูกดูถูกด้วยหน่วยไฮเทคที่อุปกรณ์ครบครันทั้งแฮกเกอร์ ทั้งโดรนสายลับ และเมื่อมาร์คัส เริ่มถอดใจอยากเกษียณตัวเองอยู่กับครอบครัวแสนแฮปปี้ ในตอนที่ตนเองนั้นได้มีหลานและเรียกคุณตาอย่างปริ่มใจ โดยหวังจะทำให้คู่หู เปลี่ยนใจตามและเลิกนำชีวิตเอาเข้าไปเสี่ยงอันตรายอย่างที่เคยเป็นมา ขณะที่ทางไมก์ กลับยังถือดีว่าเป็นตำรวจมือฉกาจแห่งไมอามี่ ทะนงตนว่าตัวเองนั้นยังคงเก่งเสมอ ทว่าอดีตที่เขาเคยสร้างความแค้นกับอาชญากรไว้มากมาย ได้ทำให้เค้าถูกตามล่าล้างแค้น ซึ่งทำให้เขาไม่อาจถอนตัวจากภารกิจและอาชีพนี้ไม่ได้ ฉากแอ็กชันว่องไวระทึกอารมณ์ โดยเฉพาะฉากขับรถไล่ล่าทำได้สมจริงลุ้นตัวเกร็ง ทำเอาขนมที่เตรียมไว้ดูขณะดูหนังไปด้วยเกือบหกเพราะลุ้นตัวโก่ง ในขณะที่ความเว่อวังพังเมืองก็วินาศสันตะโรได้อีก ไปที่ไหนเมืองยับทุกที่ระเบิดสนั่นจอยิ่งกว่าช่อง 7 อีก ด้วยความสำเร็จของหนังอีกปัจจัยสำคัญคือการสร้างตัวร้ายที่ดูสมจริง มีมิติที่มาที่มีน้ำหนัก ทั้งยังมีความเก่งทันเล่ห์รวมถึงความโหดเหี้ยม อีกทั้งยังยึดหลักของโลกความเป็นจริงที่มันเปลี่ยนไปแล้ว พล็อตเรื่องโดยรวมทำออกมาได้ดี ยึดหลักตามโลกความเป็นจริง แต่โดยรวมแล้วภาคแรกแรกยังถือว่าโอเคกว่า การดำเนินเรื่องยังคงไหลลื่นเพียงแต่ว่ายังไม่ค่อยปะติดปะต่อกันบางส่วน ฉากที่ทำออกมาได้ดีที่สุดนี่คงจะเป็นฉากไล่ล่ากันเสียดายถ้าเกิดเป็น long take จะทำให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ส่วนตัวรู้สึกประทับใจกับซีนช่วงหลังที่มีเด็กรุ่นใหม่มาแทนรุ่นเก่ามันแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของตัวละคร แต่สุดท้ายพระเอกก็ห้าวเหมือนเดิม กาลเวลาทำอะไรไม่ได้ สรุปนี่คือหนังแอ็กชันคอมเมดี้สไตล์คู่หูตำรวจแบบคลาสสิก ที่มันโคตรคลาสสิกที่เคยเป็นที่โปรดปรานกันมาก ๆสมัยยุค 90s แต่ยังสามารถกลับมาในยุค 2020 ได้แบบไม่อายใคร ซึ่งตอนแรกที่จะทำออกมาใคร ๆ ก็คิดว่าคงออกมาไม่ดีเพราะว่าห่างจากทั้งสองภาคมานานเหลือเกิน และคงหมดยุคของ ตำรวจคู่หูกันแล้ว แต่กลายเป็นหนังมันยึดตามความจริงซะเราอินกันถ้วนหน้า ใครที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกควรมาดู และนี้คือการปิดฉากที่สมบูรณ์ของซีรี่ส์เรื่องนี้ขอบคุณรูปภาพประกอบ รูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3/ รูปหน้าปกรีวิวหนังนี้ผมเขียนขึ้นเองโดยนำมาจากเพจ ตั้งวงเล่า ของทางผู้เขียน