รีเซต

ทั้งชีวิตอุทิศเพื่อสังคม!! บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ยันไม่ทิ้งวงการ เปิดใจยอมหัวใจเฉา เลือกงานมากกว่าหญิง

ทั้งชีวิตอุทิศเพื่อสังคม!! บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ยันไม่ทิ้งวงการ เปิดใจยอมหัวใจเฉา เลือกงานมากกว่าหญิง
Entertainment Report_3
29 ตุลาคม 2563 ( 15:30 )
180

ข่าวบันเทิงวันนี้

จากจำนวนแฟนเพจกว่า 8 ล้านคนในเพจของ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ที่เป็นตัวแทนสายตาผู้คนนับล้านที่มองเห็นภารกิจช่วยเหลือผู้คนมาตลอดระยะเวลา 30 ปี ของนักแสดงหนุ่มฉายา พระเอกเก็บศพ หรือ พระเอกสัปเหร่อ คนนี้ ที่ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 เผยว่าแม้ปัจจุบันจะลดบทบาทการเก็บศพลง แต่สิ่งที่ยังยึดมั่นเสมอคือความตั้งใจ ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง แบบไม่มีผลตอบแทน เพราะทุ่มเทเวลาทำหน้าที่จิตอาสาตลอดเวลาจนทำให้เลิกคิดเรื่องความรัก

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ยันไม่ทิ้งวงการ เปิดใจยอมหัวใจเฉา เลือกงานมากกว่าหญิง

 

เรียกว่าทิ้งวงการไปมั้ย เพราะภาพส่วนใหญ่ที่เห็นจะอยู่กับการช่วยเหลือ?
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ไป ๆ มา ๆ ครับ ถ้าช่วงไหนเรารู้สึกว่าเราอยากทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมกับประเทศชาติทำแล้วอยากจะแบ่งปันความสุขให้กับคนอื่นบ้าง เราก็เชิญชวนมาทำความดีร่วมกันเพราะมันไม่มีลิขสิทธิ์ในการทำความดีใครทำก็ได้ และเราก็ทำงานในวงการบันเทิงบ้างทำหนังบ้าง เล่นละครบ้าง ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้ทิ้งวงการนะ เราเกิดมาจากวงการบันเทิง

แล้วเคยมั้ยที่ตื่นมาแล้วขี้เกียจไม่อยากทำอะไรเลย?
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ไม่เคยมีเลยนะ เพราะเราจะมีตารางเราเลย แล้วเราก็จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเรามีอะไรต้องทำอะไรบ้าง ตื่นมาเราจะดูหน้าแฟนเพจก่อนเลยว่ามีใครเดือดร้อนไหมถ้ามีใครที่เดือดร้อนเราก็ออกไปช่วยเขาก่อนเลยเพื่อให้เขารู้สึกว่าได้มีกำลังใจ เพราะเขาจะได้ไม่ต้องกังวล หรือ รอคอย ความช่วยเหลือเรารู้เราก็รีบยื่นมือไปช่วยเขาเลย

แล้วเคยแพลนเรื่องเที่ยวหรือใช้ชีวิตส่วนตัวของตัวเองบ้างมั้ย?
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : สำหรับคนโสดแบบผม ไม่เคยมีแพลนแบบนั้นเลยครับ คือใน 10 ปีมานี้ผมไม่เคยมีแฟนเลย เพราะเคยมีแล้วเขาเข้าใจในการทำงานเรานะครับ แต่เขาก็น้อยใจ ถ้าเราจะทุ่มเทแบบนี้เราไม่มีแฟนดีกว่า การที่เราไม่มีแฟนมาเคยห่วงใย มาคอยโทรศัพท์รายงานตัวว่าเราอยู่ที่นั้นที่นี่ เรารู้สึกว่าการทำงานกับสังคมเราสบายใจ มันได้เต็มที่อยู่ไหนก็ชั่งเราไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ทุกเวลาทุกชั่วโมง มันเป็นอะไรที่มันไม่ใช่สำหรับตัวเรา เราเคยมีแฟนมา 2 คน คือ คนแรกที่คบเขาให้เราเลิกทำงานมูลนิธิให้เลือกเขา เราก็บอกเขาว่าก่อนที่เขาจะมาคบกับเราคือเราทำงานมูลนิธิอยู่แล้ว แล้วมาถึงจุดหนึ่งที่เขาเห็นเรารักเขามากขาดไม่ได้เขาเลยยื่นข้อเสนอนี้มา เรานั่งคิดอยู่สองวัน เราก็ตัดสินใจบอกเลิกเขาเลยเพราะงานมูลนิธิมันอยู่ในใจ คือ สายเลือด แต่เขาเพิ่งคบกันเราประมาณ 6-7 ปี มันคือ ความผูกพัน แต่ถ้าไม่ให้ผมทำงานเพื่อสังคมผมอยู่ไม่ได้ เลิกกับเขาแล้วผมทำใจอยู่ 2 เดือนแล้วผมอยู่ได้ เพราะว่าเรามีงานตรงนี้

พูดถึงคู่จิ้นไหม พี่บุ๋ม ปนันดา?
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ไม่มีครับ ไม่ใช่พี่บุ๋ม คือ เรามีใจตรงกันในการทำจิตอาสาเจอกันก็กอดกัน เขาบอกเราว่าพี่มีใจขนาดนี้ทุ่มเทให้กับตรงนี้เต็มที่มา ๆ นับถือใจเรา แล้วคืออยากจะบอกว่าผมกับบุ๋มคือไม่มีอะไรเลย ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่เวลาเราเจอเราสนิทกับเราก็ทักทายกันถ่ายรูปลงคู่กันทุกคนก็จะแซวเราแต่จริง ๆ ไม่มีอะไรครับ

แปลว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมาคือ ปิดประตูหัวใจ?
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ไม่ได้ปิดนะครับ ไม่ได้สนใจมากกว่า เพราะเราสนใจแต่งานนี้ แล้วคือเราไม่ได้มีความมุ่งมั่น เราเจอผู้หญิงสวย ๆ เราต้องเข้าไปขอเบอร์ไม่เคยมีอย่างนั้น แต่มีแต่คนเข้ามาคุยกันเรื่องงาน ดูแลตัวเองด้วยนะ โน้นนี่ เราก็ขอบคุณมาก ๆครับ ถ้าต้องไปกินข้าว ดูหนัง ไม่มีตรงนั้นครับ

ที่ไปต่อเรื่องความรักไม่ได้เพราะทำงาน 7 วัน?
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ก็ไม่ได้ถึงกับ 7 วันนะครับ ที่เราทำงานมาทั้งหมดก็ 33 ปี

งานที่จะมาถึงหูได้ต้องเป็นเคสระดับไหน?
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ผมจะพิจารณาดูว่าถึงเขาจะเป็นเคสเล็ก ๆ แต่เขามีความจำเป็นจริงไหม เขาต้องการเงินไหม เขาต้องการความช่วยเหลือยังไงบ้าง

ใครเป็นคนสแกนก่อนสำหรับงานต่าง ๆ?
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : จะมีแฟนคลับอยู่กลุ่มหนึ่งเข้าไปดูหน้าแฟนเพจของเรา เขาก็จะเป็นคนส่งเคสมาให้เราว่าพี่บิณฑ์ เคสนี้น่าสงสาร เคสนี้รอก่อนได้ไม่เป็นไร เคสนี้หนัก เราก็จะเหลือ บางวันออกสามเคส บางวันออกสี่เคส ถ้าเราออกต่างจังหวัดเราก็จะดูรายทางว่าเขามีเคสอะไรไหม เราจะได้แวะไปตามทางที่เราเดินทางไป

ขนาดมีคนสกรีนให้แล้ว ตรวจแล้วแต่ยังมีเลือกเคสพลาด?
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : เราเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำกับเรา ที่เขาต้องการจากเรามันไม่ใช่เรื่องจริง อย่างเช่น ผมไปถึงหน้าเคสแล้วผมตัวสั่นมาก พยายามระงับสติอารมณ์ ผมโกรธมากผมขับรถจาก กรุงเทพ ไปนครสวรรค์ 3 ชั่วโมงกว่า เพราะเขาบอกเราว่า ลูกกำลังจะตาย ไม่มีเงินซื้อนม จะพาลูกไปหาหมอ เราก็เร่งรีบเพื่อที่จะไปช่วย พอเราถึงเขาก็ตะโกนกันใหญ่ว่าพี่บิณฑ์ มาแล้วเขาก็กระโดดมากอดเรากันใหญ่ คือไม่มีความเศร้าหรืออะไรกันเลย เราก็ถามแล้วเคสที่น้องบอกพี่ล่ะ ไม่มีค่ะ อยากเจอพี่บิณฑ์เฉย ๆ ชอบมากกอดหน่อย ตอนนั้นเราได้บอกเขาว่าทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก เพราะยังมีคนที่เดือดร้อนเขาอยากได้ความช่วยเหลือ เป็นการทำมาหากินของเขานะ เป็นมิจฉาชีพ มีคนพิมเคสมาให้เราว่าให้เราไปดูหน่อยผู้ชายคนนี้น่าสงสารมา ไม่มีข้าวจะกิน มาตามหาลูกสาว ไม่มีใครสนใจเลย จะกลับบ้านแต่ไม่มีเงิน เราก็ไปเลยที่ สมุทรปราการ เราก็ถามหาคนบริเวณนั้นเขาก็ไม่มีใครรู้จัก แต่อยู่ ๆ เขาก็เดินมาแล้วเป็นลมไปต่อหน้าเราเลย เราก็รีบวิ่งไปรับแกไม่ได้สติอะไร เราเลยนำส่งโรงพยาบาล แล้วบอกหมอว่าค่าใช้จ่ายเรารับผิดชอบเอง แล้วเราก็ไปงานต่อ แล้วก็กลับมาดูแกอีกครั้งช่วงบ่าย แต่พอไปถึงหมอบอกว่าลุงหนีไปแล้ว เราคิดว่าแกตื่นมาคงตกใจว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เราก็ไปตามหาแก แล้วไปเจออยู่ที่โรงพัก เราก็เข้าไปคุยกับลุงแกก็ดราม่าใส่เราเลยว่าแกมาตามหาลูกสาว แต่อยากกลับบ้านเราก็เลยถามว่าแล้วหนีออกจากโรงพยาบาลทำไม แกบอกอยู่แบบนั้นไม่ได้หรอกเพราะแกมาตามหาลูกสาว (แต่ลุงเขาไม่รู้นะครับว่าผมคือบิณฑ์) ผมเลยถามว่าลุง จะเอายังไง แกบอกจะกลับบ้านเราก็สั่งให้ลูกน้องไปซื้อตั๋วให้ลุงเลย 2 ใบ ให้แกนั่งสบายๆ แล้วก็ให้เงินลุงไป 5,000 บาท เราก็บอกลุงไม่ต้องมากรุงเทพแล้วนะ เราก็บอกคนขับรถทัวร์ว่าถึงลุงถึงสุรินทร์ แล้วโทรมาบอกเราด้วยนะ พอเราแยกจากเขา สามทุ่ม ห้าทุ่มคนขับรถทัวร์โทรมาหาเราเลยว่า ลุงมันอาระวาดหนักมากเลยในรถแกจะลง แล้วก็ต้องจอดให้เขาลง เขาคงกลับมาหากินเหมือนเดิม มันก็มีอีกหลาย ๆ เคสที่ผมเจอหนักบ้าง เบาบ้าง การหลอกหลวงมันมีหลายรูปแบบมาก ๆ แต่เราก็รู้สึกว่าเมื่อใจเราตั้งใจจะทำ จะช่วยเหลือแล้ว พวกเคสแบบนี้มันก็ต้องเจอบ้างเพราะจะได้เป็นกรณีศึกษาของเรา

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :