"ชา" เป็นพืชชนิดหนึ่งที่จัดได้ว่าเป็นพืชทางเศรษฐกิจที่นิยมปลูก ประเทศจีนคือประเทศแรกที่มีการนำพืชใบชาชนิดนี้นำมาใช้ทำเป็นเครื่องดื่มที่มีมานานกว่าสองพันกว่าปีและได้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมเย้ายวนใจ วิธีการแปรรูปชาที่ใช้รับประทานคือการนำไปตากแห้งและนำมาชงกับน้ำร้อนไว้ดื่ม แต่มีประเทศหนึ่งที่นิยมดื่มชากันอย่างแพร่หลายถึงขนาดให้ความสำคัญของการดื่มชาเป็นศิลปะอันดับหนึ่งของประเทศไปแล้ว นั่นคือประเทศ "ญี่ปุ่น" และชาที่ได้รับความนิยมก็คือ "ชาเขียว"CR: ภาพประกอบข้อมูลเว็บไซต์โหลดภาพฟรี >>https://pixabay.com/ ปัจจุบันชาเขียวหรือชาญี่ปุ่น เป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วโลก เพราะมีสรรพคุณที่ว่า ดื่มและดีต่อสุขภาพ นอกจากเหตุผลอื่น ๆ การดื่มชาของประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นศิลปะ และเป็นส่วนหนึ่งทางศาสนานิกาย "เซน" คือการเข้าถึงความเงียบสงบ ความเรียบง่าย และความเป็นไปตามวัฏจักรของชีวิตคนญี่ปุ่นดื่มชากันมานานมากแล้ว เริ่มแรกของการดื่มชาก็คือ ดื่มเพื่อสุขภาพเป็นสำคัญโดยการดื่มชาของคนญี่ปุ่นนั้นได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน โดยพระสงฆ์นิกายเซนที่ชื่อ "เอไซ" ได้นำชามาจากประเทศจีน โดยทดลองนำมาใช้รักษาโรค ซึ่งความเชื่อว่าพิธีชงชาเป็นพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นพิธีแบบแรกของศาสนาเซน รวมถึงความเชื่อที่ว่าชามีคุณสมบัติทางยาอีกด้วย จึงถือว่าชาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการแพร่หลายและเป็นที่นิยมCR: ภาพประกอบข้อมูลเว็บไซต์โหลดภาพฟรี >>https://flickr.com/ การดื่มชาของคนญี่ปุ่น มีการพัฒนาที่เริ่มในสมัยยุค "คามากุระ" ยุคแด่งระบบศักดินาโดยมีจัรรดิเป็นผู้มีอำนาจ หรือเรียกติดปากกันว่าเป็นยุคของ "โชกุน" นั่นเอง ได้เริ่มมีแบบแผนพิธีชงชาขึ้น แต่เดิมนั้นจัดในวัดนิกายเซนและได้แพร่ไปสู่ตามบ้านเรือนของชนชั้นสูงหรือพวกซามูไร และหลังจากยูคมุดรมาจิ พิธีชงชาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของงานเลี้ยงที่หรูหราของชนชั้นระดับสูง เหล่าขุนนางและพ่อค้าที่ร่ำรวยแข่งขันกันอวดความมีฐานะของต้นด้วยการนำชุดน้ำชาหรือศิลปวัตถุที่มีค่าของประเทศจีนมาอวดกันCR: ภาพประกอบข้อมูลเว็บไซต์โหลดภาพฟรี >>https://flickr.com/ ต่อมาในสมัยของดชกุนฮิเดะโยะชิ ได้สนับสนุนเหล่าเจ้าเมืองที่เป็นโชกุนให้มีการแข่งขันความร่ำรวย เพราะเชื่อว่า การใช้นโยบายแบบนี้จะทำให้เหล่าโชกุนทั้งหลายใช้เงินให้หมดไปกับการฟุ่มเฟือยเพื่อลดการใช้เงินที่จะนำไปสร้างกองทัพเป็นอันตรายต่อฮิเดะโยะชิ และได้ใช้พิธีชงชานี้เป็นเครื่องทางการเมืองอีกด้วย โดยจัดพิธีชงชานี้เป้นระยะเวลา 10 วัน เชิญโชกุนหลายเมืองมาร่วมงานและเลี้ยงสังสรรค์ การนำวัตถุมีค่ามาแข่งอวดความรวยและมีการแจกรางวัลราคาแพง ๆ ความสำคัญของพิธีการชงชาเป้าหมายหลักทราบกันดีอยู่แล้วคือดื่มเพื่อสุขภาพและทางศาสนาของนิกายเซน โดยการเผยแพร่โดยพระเอไซ ส่วนผู้ที่ทำให้พิธีการชงชาแพร่หลายก็คือพระที่มาจากนิกายเซนเช่นกันที่ชื่อว่า "เซนโนะริกิว" มีการพัฒนาชงชาแบบ "วะบิชะ" ร่วมกับพระอีกสองรูปคือ ทาเคโนะ โจโอ และ มุราตะ จุโค ให้ความสำคัญด้านความสงบทางใจ ความเรียบง่าย และเป็นหนี่งเดียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนารูแปบบของ วิธีแห่งชา มีหลักสำคัญ 4 ประการ ความสอดคล้องกลมกลืน ความเคารพยำเกรง ความสะอาดบริสุทธิ์ ความสงบเสงี่ยมCR: ภาพประกอบข้อมูลเว็บไซต์โหลดภาพฟรี >>https://flickr.com/ พิธีการชงชานั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ผูหญิงญี่ปุ่นต้องเรียนรู้วิธีการชงชาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เพราะเชื่อว่าพิธีชงชา เป็นศาสตร์ที่ปลูกฝังมารยาทที่ดีงามให้กับผุ้หญิง นอกจากเรียนรู้วิธีชงชาจะต้องเรียนรู้เรื่องการจัดดอกไม้ เขียนตัวอักษร เล่นดนตรีต่าง ๆ ได้ เช่น โกโตะ หรือซามิเซน แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงมีบทบาทและฐานะให้เป็นผู้สร้างศิลปะในการสึบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ในการชงชาแต่ละครั้งของผู้หญิงญี่ปุ่นไม่ใช้จะใส่ชุดอะไรก็ได้ทำพิธีชงชา จะต้องสวมใส่ "กิโมโน" ซึ่งเป็นชุดที่มีการความเรียบร้อยซึ่งเป็นชุดที่สุภาพที่สุดในการชงชา และเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประจำชาติดั้งเดิมไว้อีกด้วยCR: ภาพประกอบข้อมูลเว็บไซต์โหลดภาพฟรี >>https://flickr.com/photos/,https://flickr.com/ สรุปได้ว่าการทำพิธีชงชาเป็นการเน้นในเรื่องของความสงบทางจิตใจของชาวญี่ปุ่น เวลาเราได้ไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นเรามักจะเห็นเขาสร้างกระท่อมชงชาให้ห่างจากที่พักอาศัย มีการสร้างสวนและปลูกต้นไม้โดยรอบ ๆ ให้ร่มรื่นสวยงามเรียกกันว่า "สวนชา" ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "โรจิ" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงควมสงบเงียบร่มรื่น ทำให้พิธีชงชาเป็นหนึ่งในพิธีที่คนญี่ปุ่นใในปัจจุบันนิยมกันเพื่อแสวงหาความสงบทางจิตใจ เพราะการทำงานในชีวิตประจำวันในปัจจุบันของคนญี่ปุ่นมีแต่ความเร่งรีบทำแต่งาน พิธีการชงชาจึงเป็นสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ หากท่านผู้อ่านได้ไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นอย่าลืมไปดูกับวิธีการชงชามของเขาดูว่ามีความละเมียด พิถีพิถันขนาดไหน ลองไปสัมผัสดูกันครับCR: ภาพประกอบข้อมูลเว็บไซต์โหลดภาพฟรี >>https://flickr.com/ CR :ที่มาภาพหน้าปกจากเว็บไซต์โหลดภาพฟรี >>https://flickr.com/CR: ที่มาข้อมูลประกอบการเขียน >>https://wattention.com/th/