สิ้นสุดการรอคอยกับภาคต่อและบทสรุปของภาพยนตร์แอ็กชันสุดโหด เลือดสาด ไม่แพ้ผลงานระดับนักฆ่ารักหมา John Wick กันเลยทีเดียว สร้างกระแสความมันส์ต่อผู้ชมทั่วโลกจนมาถึงภาคที่ 3 กันแล้ว จากฝีมือผู้กำกับหนังเดือดขึ้นชื่อ เจ้าของผลงาน Training Day (2001), Olympus Has Fallen (2013) และล่าสุด Bullet Train (2022) อย่าง Antoine Fuqua ที่กลับมาแทคทีมกับนักแสดงสายแอ็กชัน ดีกรีรางวัลออสการ์อย่าง Denzel Washington อีกครั้งกับการทวงคืนความยุติธรรมเป็นครั้งสุดท้ายของนักฆ่าจับเวลาตายนามว่า Robert McCall ที่ครั้งนี้จะพาไปเยือนถึงที่ ณ ประเทศอิตาลีใน The Equalizer 3 มัจจุราชไร้เงา 3 ปิดตำนานนักฆ่าจับเวลาตายhttps://www.instagram.com/p/Cwi2LuDSzrO/The Equalizer 3 มัจจุราชไร้เงา 3 ปิดตำนานนักฆ่าจับเวลาตาย ผลงานภาพยนตร์แอ็กชันสุดเดือด ดัดแปลงจากซีรีส์ชื่อดัง ผลงานแฟรนไชส์ภาคต่อของ The Equalizer (2014) และ The Equalizer 2 (2018) ที่ออกมาสาดความโหดกันไม่ยั้ง พร้อมได้ Denzel Washington กลับมารับบทเป็นนักฆ่าจับเวลาตาย Robert McCall กันอีกครั้ง เรื่องราวใน The Equalizer 3 เริ่มต้นหลังจากที่ในที่สุด Robert ก็ได้พบกับสถานที่ที่เหมาะกับเขามากที่สุด เขาได้ย้ายไปใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ ณ เมืองแห่งหนึ่งในอิตาลีตอนใต้ แต่แล้วเขากลับพบว่า เพื่อนใหม่ของเขาตกอยู่ภายใต้การควบคุมและรุกรานของแก๊งมาเฟียอาชญากรท้องถิ่น งานนี้ Robert จึงจำเป็นต้องปลดปล่อยตัวตนในอดีตให้ออกมาอีกครั้ง เพื่อปกป้องเพื่อนใหม่ของเขา และทวงคืนความยุติธรรมให้กลับสู่อย่างที่มันควรจะเป็นมีความสดใหม่ แต่เดินเรื่องจืดไปนะhttps://www.instagram.com/p/CwYjCiiPgVa/เรื่องราวแก่นหลักของตัวละครนักฆ่าแห่งเงามืดอย่าง Robert McCall ใน The Equalizer 3 นี้ ก็ยังคงปักหมุดหมายดำเนินเรื่องราวอันว่าด้วยความยุติธรรม ความต้องการที่จะไถ่บาป ความเสียสละ และความสัมพันธ์ระหว่าง McCall และผู้คน เหมือนดั่งที่สองภาคแรกของแฟรนไชส์นั้นเคยทำมา พิเศษขึ้นมาหน่อยตรงที่ใน The Equalizer 3 นั้น ฉากหลังของภาพยนตร์ได้นำพา McCall ไปในที่ที่เขาไม่คุ้นเคยอย่างเมืองเล็ก ๆ ในประเทศอิตาลี ความรู้สึกต่อทิวทัศน์ที่งดงามและผู้คนใหม่ ๆ ของเขาถือได้ว่าเป็นการสำรวจและเพิ่มความสดใหม่ให้กับแฟรนไชส์ (ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะใช้เวลาแสดงเรื่องนี้ไปค่อนข้างนานไม่ใช่น้อยเลย) อีกทั้ง ตัวภาพยนตร์ยังได้นำเสนอให้เห็นถึงภาพสะท้อนของสังคมในท้องถิ่นด้วยการนำเสนอช่วงเวลาอันเงียบสงบในหมู่บ้านเล็ก ๆ ตัดกับบรรยากาศอันเหี้ยมโหดจากกลุ่มอาชญากรบนท้องถนนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในเมือง ๆ หนึ่ง ซึ่งทำให้การกำกับภาพในภาคนี้มีเสน่ห์มาก ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ความสดใหม่ที่ The Equalizer 3 ได้สร้างให้นั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่สามารถกลบข้อสังเกตที่ว่า ในจังหวะการเล่าเรื่องมีบางครั้งที่สะดุด และรู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้สร้างความหวือหว่าอะไร ทำให้ในแง่ของความบันเทิงอาจจะยังไปไม่สุด และทำให้การพัฒนาตัวละครบางตัวยังขาดความน่าดึงดูดใจเช่นกันดิบโหดกว่าเดิม สมการกลับมาhttps://www.instagram.com/p/Cw8iiI0yNR3/หนึ่งสิ่งที่ผู้ชมทุกคนต่างหวังจะได้ลิ้มลองจากภาคที่สามของแฟรนไชส์นี้ คือ ฉากแอ็กชันสุดโหดที่เป็นจุดเด่นมาตรฐานของภาพยนตร์ชุดนี้มาตั้งแต่ภาคแรก และเป็นที่แน่นอนว่า The Equalizer 3 ก็ยังสามารถคงไว้ซึ่งจุดเด่นนั้นได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำเสนอฉากแอ็กชันแบบที่อะดรีนาลีนของผู้ชมต้องสูบฉีด ไม่แพ้สองภาคแรกของแฟรนไชส์ ตั้งแต่การต่อสู้ระยะประชิดอันดุเดือดแบบชนิดที่หยิบจับอะไรเป็นอันต้องระแวงไปหมด ไปจนถึงการไล่ล่าแบบความเร็วสูงที่โดดเด่นไม่น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทักษะอันน่าเกรงขามและความมุ่งมั่นต่อความยุติธรรมอันแรงกล้าของ McCall ในแบบที่เป็นส่วนตัวสุด ๆ โดยเฉพาะการออกแบบฉากแอ็กชันในThe Equalizer 3 ก็ถือว่ามีความดุดันและดิบโหดเป็นอย่างมากในช่วงตอนต้นเรื่องและท้ายเรื่อง เรียกได้ว่า สำหรับคอหนังแอ็กชันอย่างเรานั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างความน่าตื่นเต้นได้มากพอสมควรDenzel ยังคงเป็น McCall ได้สบายhttps://www.instagram.com/p/CxJv-vUJErA/เรียกได้ว่าน้อยครั้งที่จะเห็นนักแสดงชายดีกรีรางวัลออสการ์คนนี้กลับมาแสดงในภาพยนตร์ภาคต่อของเขา เพราะ นี่ถือเป็นการกลับมาเป็นครั้งที่ 3 ในแฟรนไชส์สำหรับ Denzel Washington กับบทบาทนักฆ่าจับเวลาตาย Robert McCall ซึ่งการแสดงของ Denzel ใน The Equalizer 3 นี้ถือว่าได้สร้างและเพิ่มพูนเสน่ห์ให้กับตัวละครนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเผยให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ McCall อ่อนแอที่สุด ที่ซึ่งแทบไม่เคยได้เห็นในสองภาคที่ผ่านมา บวกกับความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่นำมาสู่ตัวละครนี้ ทำให้การแสดงของ Denzel ใน The Equalizer 3 เป็นเครื่องมือที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถอันยาวนาน ความทุ่มเท และความรักที่มากมายของเขาต่อบทบาทนี้https://www.instagram.com/p/CxTxSiYt1X2/อีกหนึ่งตัวละครที่แม้จะออกมาไม่นาน แต่ก็ช่วยสร้างความมีมิติให้กับตัวละคร McCall ไม่ใช่น้อย คือ ตัวละคร Emma Collins ของ Dakota Fanning ที่ซึ่งถือว่าเป็นการกลับมาร่วมงานกันกับ Denzel ในรอบ 19 ปีนับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้าอย่าง Man on Fire (2004) การแสดงเคมีที่เข้ากันอย่างสมจริงของทั้งคู่ช่วยทำให้ตัวละคร Collins มีความโดดเด่นและมีความสำคัญต่อเรื่องราวไม่แพ้กัน นำมาสู่อีกหนึ่งความน่าสนใจของเรื่องราวในภาคนี้โดยสรุป The Equalizer 3 มัจจุราชไร้เงา 3 ปิดตำนานนักฆ่าจับเวลาตาย คือ การกลับมาครั้งสุดท้ายของ Robert McCall ที่ทั้ง Denzel Washington และ Antoine Fuqua ต่างนำเสนอภาคที่น่าดึงดูดใจได้อีกครั้งหนึ่ง ที่ซึ่งแม้ว่าอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็สามารถให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมด้วยฉากแอ็กชันที่ดิบโหดมากขึ้นเป็นเท่าตัว และด้วยความมุ่งมั่นของ Denzel ที่มีต่อบทบาทนี้ จึงทำให้ 'The Equalizer' เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวไตรภาคที่น่าจดจำ7/10 - Great and Memorable Actionhttps://www.youtube.com/watch?v=hDFvYY_zaU0The Equalizer 3 มัจจุราชไร้เงา 3 ปิดตำนานนักฆ่าจับเวลาตาย สามารถรับชมได้แล้ววันนี้บทความที่เกี่ยวข้อง: THE EQUALIZER: Denzel Washington เป็นมัจจุราชไร้เงา!ขอบคุณข้อมูล รูปภาพและวิดีโอที่มาข้อมูล: equalizer.movieภาพปก | ภาพประกอบที่ 1 | ภาพประกอบที่ 2 | ภาพประกอบที่ 3 | ภาพประกอบที่ 4 | ภาพประกอบที่ 5 จาก Official Instagram theequalizermovieคลิปวิดีโอจาก Youtube: Sony Pictures Thailandเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !