Short CommentThe Book Of Boba Fett : คัมภีร์แห่ง โบบา เฟตต์ (2022)หนึ่งในซีรีส์ที่เฝ้ารอ จากค่าย Disney+ Hotstar ที่เหมือนจะเคยได้ยินมาว่า น่าจะดาร์ค และแรงกว่า The Mandalorian ทำให้ผู้เขียน เฝ้ารอด้วยความหวัง ว่าตัวละคร Boba Fett ที่มีเสน่ห์ และเปี่ยมสีสันจากจักรวาลหลัก จะออกมาจากหลุมนั้นได้อย่างไร และเรื่องราวในคัมภีร์ของเขา จะเป็นเช่นไร ทว่า เมื่อการรอให้จบครบทุกตอน แล้วดูรวดเดียว จึงอาจมีผลบ้าง ที่ทำให้มองเห็นอะไรชัดกว่าการรอดูเป็นรายสัปดาห์ ที่เวลาอาจทำให้หลงลืมบางอย่าง ซึ่ง ผลที่ได้คือผิดหวังเล็กๆ ที่ตัวงานไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด เพราะนี่คือค่ายที่ไม่มีความรุนแรง อันนี้พอเข้าใจแล้วส่วนที่ชอบ คือการเสนอตัวเป็นหนังคาวบอยตะวันตก ทั้งการเล่าเรื่อง โทนเรื่อง เครื่องแต่งกาย ดนตรี และสี แถมยังมีตัวตน ลายเซ็นของผู้กำกับ Robert Rodriguez ที่กำกับไปสามตอนออกมาเต็มที่ ทำให้บางฉากก็อดคิดถึงหนังอย่าง From Dust Till Dawn (1996) หรือฉากไคลแม็กซ์ในตอนสุดท้าย ไม่มีทางเลยที่จะไม่คิดถึง Desperado (1995) ไอ้ปืนโตทะลักเดือดเรื่องนั้น หรือจะรวมไปถึงนักแสดงรับเชิญ ที่เป็นขาประจำของผู้กำกับอย่าง Danny Trejo ก็ย่อมได้ และโทนหนังคาวบอยแบบนี้ มันมีดีที่การค่อยๆเล่า แล้วค่อยๆเก็บเกี่ยวเงื่อนปม อารมณ์ เพื่อไประเบิดกันในตอนท้ายซึ่งสำหรับเรื่องนี้ ตัวบทถือว่าทำได้ดี แม้จะมีหลุดและลืมไปบ้างบางจุด ทำให้นี่คือความบันเทิงที่ถึงฟอร์ม เป็นงานคาวบอยตะวันตก ที่ใส่เสื้อ Star Wars ทำให้ผู้ชมทุกรุ่นสามารถเข้าถึงสัมผัสได้ ไม่ใช่แค่คนรุ่นเก่าที่คุ้นเคยกับหนัง Western เท่านั้น ด้วยการเล่าเรื่องสลับไปมา ระหว่างจุดเริ่มต้น ที่ Boba Fett (Temuera Morrison) รอดชีวิตมาจากฉากในตำนานใน Return Of The Jedi แล้วได้เข้าไปอยู่กับพวกทัสเคนท์ (มนุษย์ทราย) จนมาเจอกับคู่หู Fennec Shand (Ming-Na Wen) กับปัจจุบัน ที่เขากลายมาเป็นไดเมียว หรือเจ้าพ่อแห่งดาวทาทูอีน และต้องมีการต่อสู้กันทางอิทธิพล เพื่อแย่งอำนาจ ที่จะปกครองดาวที่แห้งแล้งนี้ แทนที่ Jabba The Hutt เรื่องจากการรังสรรค์ของ Jon Favreau เป็นหลัก จึงกลายเป็นส่วนผสมชั้นดี ระหว่างหนังคาวบอย กับหนังแกงสเตอร์ ที่บางฉากอีกเช่นกัน ที่จะอดคิดถึงหนังอย่าง The Godfather (1972) ไม่ได้ เช่นฉากเจรจาบนโต๊ะอาหารซึ่งทั้งหมดก็ดูลงตัวดี เล่าได้อารมณ์ ถึงฟอร์ม และถึงใจจนหยดสุดท้าย แต่ ปัญหาของเรื่องนี้มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือการมาทีหลังเรื่องของ Din Djarin หรือ Mando (Pedro Pascal) ซึ่งก็คือ The Mandalrian ทั้งสองซีซัน เนื่องเพราะ การเล่าในแบบคาวบอยตะวันตกแบบนี้ มันเหมือนเป็นบุคลิกของเรื่องก่อนหน้าไปเสียแล้ว นั่นจึงทำให้เรื่องนี้ กลายเป็นเหมือน The Mandalorian ซีซัน 2.5 ยิ่งมีตอนกว่าๆ ที่เล่าเรื่องของ Mando กับ Groku ที่ตอนเห็นก็รู้สึกว้าวดี แต่พอเล่าเยอะจนไม่ใช่ของเซอร์ไพรซ์ เลยกลายเป็นทำให้เรื่องนี้ที่เป็นหลัก ไม่มีที่ทางของตนเองไปจนได้ ซึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ผู้ชมหลายคนอาจคิดเช่นนี้ เพราะแม้ Boba Fett จะเป็นชิ้นส่วนหลักในจักรวาล แต่การเล่าเรื่องตัวละครใหม่ที่มาก่อนนั้น สร้างกำแพงไว้ทั้งหนาและแข็งเกินไป จนทำให้ไม่สามารถเจาะทะลุไปได้ เลยกลายเป็นเหมือนซีรีส์ภาคแยกธรรมดา ที่สนุก แต่ดูไปก็ต้องคิดถึงเรื่องก่อนหน้าไป นั่นคือสูญเสียตัวตนของตนเองไปเรียบร้อยแต่ถ้าว่ากันที่ตัวเรื่องโดยรวม นี่คืองานชั้นดี มีมาตรฐาน นักแสดงก็ทำหน้าที่ได้ดี โดยเฉพาะ Ming-Na Wen ที่ดูดีสมวัย และมีเสน่ห์ในตัว ประกอบกับการเก็บชิ้นส่วนเก่ามากมายในจักรวาลมาใส่ไว้ ทำให้ผู้ชมที่ดู Star Wars มาตลอดรำลึกได้ และเกิดอารมณ์ถวิลหา กลายเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้เรื่องสามารถไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวมหากาพย์นั้นได้อย่างเนียนๆ และตลอดเวลาที่เล่าเรื่องมาทั้งเจ็ดตอน ก็สนุกสมใจและน่าติดตามให้ดูยาวๆได้ เพียงแต่ ยังไม่มีเอกลักษณ์ จนเหมือนไร้ตัวตน และคัมภีร์เล่มนี้ของ Boba Fett อาจไม่มีที่ยืนในหัวใจผู้ชมได้เท่า ซามูไรพ่อลูกอ่อนของ Mando กับ Baby Yoda หรือ Grokuและมันก็คือนิยามที่ว่า งานที่ดูสนุก แต่จบแล้วจบกันดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 จาก Facbook Disney+🎬 อัปเดตหนังฮอต อนิเมะฮิต ดูซีรีส์แล้วติดแวะมาแชร์กับคอมมูนิตี้ TrueID Entertainment ได้เล้ย 📺✨อัปเดตข่าว ดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี!