บอย เอเอฟ 3 เซ็ง ไม่พ้นคำว่า ผู้ต้องหา มั่นใจตัวเองบริสุทธิ์
บอย เอเอฟ 3 เซ็ง ไม่พ้นคำว่า ผู้ต้องหา มั่นใจตัวเองบริสุทธิ์
วันที่ 18 มี.ค. ที่ สนามชัยหาดทรายขาว สายเชียร์ วงศ์วิโรจน์ จัดงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องใหม่ พร้อมเปิดตัว บริษัท สยามขัย ชายหาดขาว เพื่อความสุขของครอบครัว จำกัด ก่อนเริ่มงาน อดีตนักแสดงชื่อดัง บอย สิทธิชัย หรือ บอย เอเอฟ 3 ได้เปิดใจถึงเรื่องที่เคยถูกจับในข้อหาฉ้อโกง ปลอมแปลงบัตรเครดิต มีมูลค่าความเสียหายกว่า 13 ล้านบาท จนเป็นข่าวโด่งดัง
“ตอนนี้ก็ทำธุรกิจส่วนตัว ทำโรงงานกับเพื่อน และก็ธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้า ส่งออกอุปกรณ์การแพทย์ อยู่ที่แหลมฉบัง คลองหลวง นำเข้าจากต่างประเทศ และเพราะโควิดนี่แหละ ถึงได้มาจับธุรกิจตัวนี้ ซึ่งเป็นจังหวะที่ดี มันตอบโจทย์กับสถานการณ์ตอนนี้”
ย้อนกลับไปกว่าจะผ่านช่วงชีวิตนั้นมาได้ยังไง? “จริงๆ ก็ยังไม่ผ่านวิกฤตนั้นนะ ในรูปของคดี ก็ไม่ได้เคลียร์ซะทีเดียว มีเคลียร์บางสิ่งบางอย่างไปแล้วบ้าง ชัดเจนในรูปแบบตามกฎหมาย แต่ที่คาราคาซังก็ตามสำนวนที่ว่ากันไป เพราะด้วยความที่เราถูกจับเป็นคนสุดท้าย อยู่ในชั้นอัยการ”
การที่ข่าวพาดหัวว่าถูกจับคาผ้าเหลือง มันตกใจมากแค่ไหน? “ตอนนั้น ถ้าบอกว่าไม่ตกใจ ก็จะโกหกเกินไป ก็ตกใจประมาณนึง แค่งงว่าทำไม ข่าวมันแรงขนาดนี้ ข่าวมันไปทุกที่เลย และรู้สึกว่าเป็นพระที่ดัง (หัวเราะ) เราจะห่วงครอบครัวมากกว่า โอเคหลักฐานมันชี้มาที่เรา แต่ทุกอย่างมันพิสูจน์ได้
และเรากำลังพิสูจน์อยู่ เคลียร์ในส่วนที่เราไม่ได้เกี่ยวข้อง เคลียร์เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง และเราไม่ได้รู้จักคนที่ถูกจับไปก่อนหน้านั้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่เป็นคดี อยู่ชั้นสืบค้น หาพยาน หลักฐาน ต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพักนึง”
ครั้งนั้นที่ถูกจับ ทำให้ชีวิตเราติดลบไปเลยม่ะ? “ผมก็ว่าไม่นะ มันก็แค่เป็นข่าวนึง มันอาจจะคิดว่าเป็นช่วงชีวิตนึงที่เราต้องเจอหรือเปล่า เราอาจจะเคยทำอะไรกับใครไว้ มันเลยย้อนกลับมาที่เรา ซึ่งมันอาจจะกระทบกับครอบครัวแค่นั้น และมันก็ตลกเนอะ พอเป็นปุ๊บ เราลาสิกขามาก็เจอโควิด ซึ่งถ้าไม่มีโควิด ผมก็จะมีละคร 2 เรื่องที่ติดต่อมา และกำลังจะเปิดละครที่ตัวเองเป็นผู้จัด ทุกอย่างก็เลยต้องหยุดไป”
“อย่างตอนนั้นคือไม่ได้บวชใหม่ บวช 9 เดือน บวชให้พ่อที่กำลังป่วย ตอนนั้นที่ผมโดนจับ ผมก็ยังไม่ได้สึก ยังไม่ได้กล่าวคำขอสึกใด และตามสำนวนของกฎหมายเราเป็นผู้ต้องหา และวันที่ถูกจับมาโรงพัก ผมยังไม่ได้ลาสิก แค่เปลี่ยนชุดเพื่อจะถ่ายภาพตามกฎหมาย ซึ่งถ้าสวมจีวรคงไม่เหมาะสม และจากรับทราบข้อกล่าวหาเสร็จ ผมก็กลับไปเป็นพระเหมือนเดิม อยู่จนครบ 9 เดือน เพราะผมไม่ได้เปล่งวาจา”
วันที่เราถูกจับ ครอบครัวว่าไง? “เขาป่วย พอเขาทราบ เขาก็อาการทรุดลง แต่ตอนนี้ท่านก็เสียแล้ว”
เราถามตัวเองไหม จากดารา แล้วชีวิตเราทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้? “ไม่ได้ค้น ไม่ได้ถามอะไรขนาดนั้น มันเป็นจังหวะที่เราต้องเจอ บางคนอาจจะเจอมรสุมชีวิต แค่เราอยู่ด้วยความเข้าใจ ผมไม่ได้ซีเรียสที่ตกเป็นข่าวใดๆ และผมอาจจะทำอะไรต่อไม่ได้ เพราะผมไม่ได้ทำตามที่เป็นข่าว ผมก็ไลฟ์ผ่านเฟสบุ๊คในวันที่ถูกจับ
เรามีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ และก็มีช่องใหญ่ๆ มาทำข่าว หลายคนที่เข้ามาดูเกือบแสนก็ทราบในเรื่องที่เราได้พูดไป ผมเคลียร์ในส่วนที่เราไม่เกี่ยวข้อง ทำในส่วนที่เราทำ และบางทีสิ่งไหนที่เราไม่ได้ทำ เรายังยอมรับเลย คือข่าวที่เขียนมา เราก็ไม่ได้แบบนั้น 100% โอเค 20% แนวโน้มเป็นแบบนั้นเพราะการให้การของ 11 คน อาจจะไม่ตรงกัน แต่ถ้าอยากให้ผมเป็นแบบนั้น ก็แล้วแต่จะคิด ไม่ซีเรียส”
ตอนนี้คดีไปถึงไหนแล้ว? “อันนี้ผมไม่ทราบเลย เกือบ 2 ปีแล้ว ตอนนี้ยังไม่ขึ้นศาล แต่ไปรายงานตัวเรื่อยๆ เพราะสำนวนยังไม่ถึงชั้นศาล ผู้ต้องหาตัวจริงถูกจับไปแล้ว ตอนนี้ผมยังไม่ได้ขึ้นศาล อยู่ในชั้นอัยการ ก็ตามข่าวว่าผมคือผู้ต้องหาก็คือผู้ต้องหา”
ตอนนี้อยู่ในฐานะอะไร? “ก็ตามข่าวคือผมเป็นผู้ต้องหา ก็คือผู้ต้องหา”
รู้สึกยังไงทั้งๆที่เราไม่ได้ทำความผิด? “ผมเฉยๆ ไม่รู้สิว่าจะอธิบายยังไง มันแค่เห้ย ผู้ต้องหา (มันแรงนะ ถ้าชาวบ้านฟังและไม่เข้าใจเนื้อข่าว) มันแรง แต่ส่วนตัวผม ผมเฉย แต่แรงในที่นี้มันกระทบ 1 2 3 4 ครอบครัวแค่นั้น ผมแค่ห่วงความรู้สึกคนในครอบครัว แต่ส่วนตัวผมเฉยๆมากเลย”
แต่เข้าใจใช่ไหมว่าในรูปข่าว เราเกี่ยวข้อง? “เข้าใจ (คนเข้าใจว่าผิดจริง) ก็ไม่เป็นไร ผมห้ามใครไม่ได้ว่าผมอย่างนี้นะ อย่างนั้นนะ ผมไม่ได้บอกว่าผมคนดี ผมไม่ได้บอกว่าผมทำหรือไม่ทำ แต่โอเคในเมื่อข่าวออกไป ก็แล้วแต่วิจารณญาณ ผมไม่สามารถบอกได้ว่าผมเป็นอย่างนั้น ผมไม่ได้เป็นอย่างนี้ ผมให้เวลารันไปเรื่อยๆ ดีกว่า”
ดูไม่เครียดเลย หรือเลยจุดเครียดแล้ว?“ผมเครียดแค่วันแรก เพราะว่าพ่อนอนป่วยติดเตียง (ห่วงความรู้สึก) ใช่แค่นั้น”
อีกคำ “ผู้ต้องหา” ทั้งๆที่ไม่ได้เป็น? “ก็ตอบคำเดิมครับ ผมทำงานทุกวันนี้ก็ติดต่อลูกค้าปกติ (แสดงว่าไม่มีผลกับธุรกิจ) ไม่มีครับ”
เรื่องงานวงการบันเทิง ยังไงบ้าง? “จริงๆ ที่ดอร์ปไว้เพราะติดโควิดและด้วยสภาพเศรษฐกิจ เพื่อนที่มาลงทุนด้วยกันก็ต้องเบรกไว้ก่อน ทีนี้พอมีธุรกิจที่ค่อนข้างสร้างรายได้ให้เรา อาจจะไม่ได้มากมาย แต่มันก็อยู่ได้ในสภาวะแบบนี้ ก็ดีกว่าไม่มีอะไรทำ”
เท่ากับว่าตอนนี้ทุกอย่างราบรื่นดี? “ไม่ได้ราบรื่นเสียทีเดียว ชีวิตคนก็ปกติ เรียบๆไม่ได้หวือหวา”
อะไรทำให้มองโลกแง่ดีแบบนี้ ทั้งๆที่โดนเรื่องระดับประเทศ? “มีหลายคนถามผมนะว่าทำไมไม่เครียด จริงๆเครียดแหละ แต่ว่าพอมันเครียดก็ถามกลับว่าเครียดแล้วได้อะไร เครียดแล้วมีเงินกินข้าวไหม เครียดแล้วมีเงินซื้อนั่นจ่ายนี่ไหม มีให้พี่ให้น้องให้ครอบครัวมั้ย ถ้าเราข้ามไป ก็จะมีพลังเยอะมากเลย กำลังใจจากครอบครัวก็ส่วนหนึ่งด้วย จากตัวเองก็ไม่ได้ซีเรียสว่าผู้ต้องหาแล้วไง
มีข่าวแล้วไง ทุกคนสามารถมีข่าวได้ ทุกคนมีเรื่องราวต้องเจอเพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์แบบผม อาจจะมีคนเครียดแบบผมเป็นร้อยคน เป็นพันคน (แต่เราเป็นดารา สปอร์ตไลต์ส่องมาที่เรา) เราอาจจะอยู่ในที่สว่างก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็เป็นได้”
น้อยใจไหม โชคชะตาพาเคราะห์ซ้ำกรรมซัด? “ผมไม่ได้น้อยใจ ผมเป็นคนที่ทำแล้วรู้ว่าผลที่เราจะได้รับมันคืออะไร อันไหนไม่ได้ทำถ้ามันจะต้องรับไม่ว่าจะดีหรือจะแย่มันก็เป็นผลจากการกระทำของเราทั้งนั้น มันมีเหตุผลมีปัจจัยของมันอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ซีเรียสมาก ว่าจะต้องโฟกัสกับคำๆนั้น หรือสถานการณ์ กับการที่ไปจมอยู่ตรงนั้น มันจมได้แต่พอควรให้ได้รู้ว่าเครียดมากเป็นแบบนี้ การตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งเรื่องที่มันอื้อฉาวมันเป็นแบบนี้ ก็แค่นั้นผมก็ต้องเดินหน้าต่อไป”
ไม่ถึงขั้นคิดสั้น? “ไม่มีครับ ไม่มี”
ต้องรออีกนานไหม กว่าจะมาใช้คำว่าผู้บริสุทธิ์? “ผมก็ตอบไม่ได้ครับ เพราะเพิ่งถึงอัยการ อยู่ชั้นอัยการครับ”
ตอนนี้รายงานตัวต้องกี่วันครั้ง? “ไปตลอดครับ ที่สำนักอัยการ ทุกๆเดือนครับ แต่พอมีโควิด ก็แล้วแต่อัยการจะแจ้งมา”
ตอนนี้โอเคขึ้นไหม หลังจากบวชมา? “ใช่ครับ ผมบวชครั้งแรกครบ 20 ถัดมาก็บวชให้พ่อ คือไม่รู้หรอกว่ามันช่วยได้มากแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ให้ท่านได้บุญตรงนั้น”
เชื่อว่าฟ้าหลังฝนดีเสมอ? “ผมไม่ได้เชื่อว่าฟ้าหลังฝนย่อมดีกว่า ผมเชื่อในการกระทำ ผมเชื่อในความคิดและสองมือทำ ทำไม่ดีก็ได้ไม่ดี ทำดีก็ได้ดีมันเป็นคำที่ไม่ตาย เป็นคำที่จริงที่สุด คนทำชั่วไม่มีทางที่จะได้ดีอยู่แล้ว อาจจะแค่แวบหนึ่งแต่ก็แค่ชั่วคราว”
กับการที่เป็นข่าวดังระดับประเทศ ความน่าเชื่อถือลดลงไหม? “คนอื่นอาจจะมองว่ามันลดลง แต่ผมก็ไม่ได้มั่นใจตนเองนะ ผมทำโรงงานกับเพื่อน โรงงาน 3-4 ไร่ ผมก็ไม่รู้ว่านักธุรกิจที่มาคุยกับเราเขามั่นใจเราหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้ถามเขาว่า เขามั่นใจผมไหม ที่คุณจะมัดจำ จะสั่งสินค้ากับผม ไม่ได้มีใครมานั่งถาม ก็เลยไหลไปเรื่อยๆ”
ชื่อ บอย เอเอฟ ยังขายได้อยู่ไหม? “ผมก็แก่แล้ว จริงๆธุรกิจผมก็แยกมาทำกับภรรยาแล้ว ส่วนพี่ที่ทำที่เดิมก็เป็นพาร์ตเนอร์กัน ธุรกิจมันต้องเอื้อกันเพราะมันเป็นการค้าระหว่างประเทศกับท่าเรือ กับแอร์พอร์ต มันลิงค์กันหมด ผมเลยไม่เข้าใจว่ามันเสียเซลฟ์ไหม ถ้ามีลูกค้าฉีกสัญญาผมถึงรู้สึกว่าเฮ้ย แต่ตอนนี้ยังไม่เคยมี”
ในพาร์ตธุรกิจที่ทำกับภรรยาโอเค แต่ในส่วนอื่นๆต้องเช็คประวัติไหม? “เหมือนเช็คไฟแนนซ์ (หัวเราะ) ตอนนี้ผมทำกับภรรยา 2 คน และกับที่บ้าน แต่ในส่วนที่หุ้นกันทำตอนแรก แต่ตัวผมแยกตัวออกมาแล้ว แต่โรงงาน 1 2 3 A B C ยังต้องเป็นพาร์ตเนอร์กันอยู่ เพราะเหมือนองค์กรที่ต้องร่วมกัน เพียงแต่เป็นบ้านใครบ้านมัน อันนี้เป็นบริษัทที่ร่วมกับภรรยา แต่อีกอันเป็นของใครก็ว่ากันไป”
ต่อจากนี้วางแผนชีวิตยังไงบ้าง? “คงต้องโฟกัสที่บริษัทที่ทำอยู่ ต้องทำให้มันดี เพราะว่าลูกกำลังโต ส่วนงานในวงการผมชอบงานเบื้องหลังอยู่แล้ว ผมก็มีบริษัททำเบื้องหลัง เพียงแต่ว่าช่วงนี้มันมาดร็อป ช่วงผมบวช เสร็จเป็นข่าว กละบมาเจอโควิด โควิดหนึ่งไม่พอ มาเจอโควิดสองอีก ก็เลยต้องเบรกยาว แต่ก็ยังมีงานเขียนงานช่วยพี่ๆโปรดิวซ์ที่เรารู้จักในวงการตลอด เพียงแต่ไม่ได้พรีเซนต์ให้ทุกคนให้เห็นแค่นั้นเอง”
เรียกว่าไม่ได้หายไปไหน? “ก็หายนะ เพราะผมไม่ค่อยได้อัพอะไรในไอจี จริงๆงานวงการก็คือชีวิต เพราะเราก็มาจากการประกวดคือมะนก็ทิ้งไม่ได้ อย่างนี้ที่มาเจอกันก็ขอขอบคุณมากๆ แย้างวันนี้ป๋าเชียร์ สายเชียร์ ผมก็เคยกำกับหนังสั่นที่เขาเล่น ซึ่งหลายคนไม่รู้ ซึ่งเป็นเรืองบังเอิญที่มาเจอป๋า ก็เรียกว่าเป็นจังหวะที่ดี ถ้าจากนี้ไม่มีโควิดอีก อาจจะมีโปรเจ็กต์ที่ผมทำค้างไว้ครับ ธุรกิจก็รันต่อไปครับ”
ขอบคุณรูปจากไอจี : boy_sittichai