สรุปไฮไลต์เด่น "Oscars 2025" สถิติน่ารู้จากปรากฏการณ์หนังเข้าชิงรางวัลปีนี้

เปิดเผยผู้เข้าชิงออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับงานประกาศรางวัลยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการภาพยนตร์โลก อย่าง Academy Awards ครั้งที่ 97 หรือ ออสการ์ 2025 ที่ได้ทำการประกาศรายชื่อหนังเข้าชิงออกมาอย่างเป็นทางการ เมื่อคืนวันพฤหัสบดี (23 ม.ค.) ที่ผ่านมา ครบทุกสาขารางวัล สามารถดูผู้เข้าชิงทุกรางวัลได้ที่นี่ นับว่าเป็นอีกปีที่ได้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในหมวดหมู่กลุ่มหนังรางวัล และผุดเป็นสถิติใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ MovieTrueID จึงได้รวบรวมเกร็ดน่ารู้ของกลุ่มหนังได้เข้าชิง Oscars 2025 มาฝากกัน
เริ่มต้นที่ "Emilia Pérez" หนังมิวสิคัลอาชญากรรมเรื่องเด่นของฝรั่งเศสจากเน็ตฟลิกซ์ ได้สร้างสถิติใหม่กลายเป็นหนังที่ใช้ภาษาต่างประเทศ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษในการดำเนินเรื่องเป็นภาษาหลัก เข้าชิงรางวัลออสการ์ได้สูงที่สุดเรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ ถึง 13 สาขารางวัล แซงหน้าสถิติของ Crouching Tiger, Hidden Dragon กับ Roma ที่เป็นหนังภาษาต่างประเทศที่เคยเข้าชิงออสการ์สูงที่สุดที่ 10 สาขารางวัล
ไม่เพียงเท่านั้น Emilia Pérez ยังเทียบชั้นสถิติเข้าชิง 13 สาขาได้เท่า ๆ กับ Oppenheimer เมื่อปีก่อน รวมทั้ง Mary Poppins, Forrest Gump, Gone with the Wind, The Shape of Water และ The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring ที่เคยเข้าชิงออสการ์ได้จำนวน 13 สาขารางวัลมาก่อนในอดีต และการแสดงของ "การ์ลา โซเฟีย แกสคอน" ใน Emilia Pérez กลายเป็นนักแสดงสาวทรานสเจนเดอร์คนแรกในประวัติศาสตร์ของโลก ที่ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปีนี้
"The Substance สวยสลับร่าง" ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการเป็นหนังแนวสยองขวัญเรื่องที่ 7 ในประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อเข้าชิงรางวัลใหญ่ของออสการ์ อย่าง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยก่อนหน้านี้เคยมีแค่ The Exorcist, Jaws, The Silence of the Lamps, The Sixth Sense, Black Swan และ Get Out เป็นหนังประเภทสยองที่เคยเข้าชิง เพราะเวทีออสการ์มักจะถูกเม้าท์บ่อย ๆ ว่าค่อนข้างเมินและไม่ถูกโฉลกกับหนังสยองขวัญ
"เดมี มัวร์" ได้รับโอกาสถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ นับตั้งแต่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 40 ปี จากลีลาการแสดงใน The Substance ที่ทำให้ตอนนี้เธอถูกมองว่าเป็นตัวเต็งในรางวัลสาขานี้ไปแล้ว และพร้อมที่จะลบคำสบประมาทที่เธอเคยเล่าว่า โดนตราหน้าเป็นดาราหนังป็อปคอร์นที่ไม่มีโอกาสได้ไปแตะสายรางวัลตลอดชีวิต
"Dune: Part 2" มีชื่อติดโผเข้าชิงออสการ์ในปี 5 สาขารางวัล ที่ยังกลายเป็นหนังแฟรนไชส์เรื่องที่ 4 ในประวัติศาสตร์ ที่มีโอกาสได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย โดยก่อนหน้านี้มีเพียง The Godfather, Avatar และ The Lord of the Rings ที่เป็นหนังชุดที่ได้เข้าชิงสาขานี้ต่อเนื่องในหลากหลายภาค แม้ว่าจะเป็นที่น่าเสียดายที่ผู้กำกับ "เดอนี วีลเนิฟว์" ไร้ชื่อติดโผ และงานประพันธ์เพลงของ "ฮานน์ ซิมเมอร์" ที่ออสการ์ตัดสิทธิ์
ว่ากันว่าอดีตลูกรักออสการ์ ผู้กำกับ "ลูกา กวาดาญีโน" ต้องอกหักที่สุดในปีนี้ เพราะผลงานสายรางวัลอันโดดเด่นของเขา ทั้ง 2 เรื่อง อย่าง "Challengers" กับ "Queer" กลายเป็นหนังที่ถูกมองข้ามไปบนเวทีออสการ์ปีนี้ โดยทั้งสองเรื่องไม่มีชื่อติดโผเข้าชิงสักรางวัลใด ๆ รางวัลเดียวเลย
"เซบาสเตียน สแตน" ทำผลงานได้โดดเด่นในปีนี้ เพราะเขาสามารถเข้าชิงรางวัลออสการ์ได้เป็นครั้งแรกในชีวิต จากการรับบทเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันในหนังชีวประวัติเปิดปูมธุรกิจในอดีต อย่าง "The Apprentice" ที่นับว่าเป็นปีทองของเขา เพราะจริง ๆ เขาก็เกือบจะได้ชิงอีกรางวัลจากการแสดงสมทบในหนัง "A Difference Man" อีกเรื่องเช่นกัน
หนังมิวสิคัลแห่งปี "Wicked" กับหนังชีวิตผู้อพยพ "The Brutalist" เป็นผลงานที่มีโอกาสเข้าชิงได้เท่า ๆ กันที่ 10 สาขารางวัล ที่โดดเด่นมีชื่อให้สาขารางวัลใหญ่ ๆ แทบจะทั้งสิ้น ขณะที่ "A Complete Unknown" หนังชีวิตตำนานเพลง บ็อบ ดีแลน เข้าชิงได้ 8 สาขา และทำให้ "ทีโมธี ชาลาเมต์" ได้มีโอกาสได้ชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตของเขา
ขณะที่หนังตลกเสียดสีสุดจึ้งแห่งปี "Anora" ผ่านเข้าชิงได้ 6 สาขารางวัล พร้อมกับส่งให้ดาราสาวหน้าใหม่ "แมดี้ แมดิสัน" ได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจากผลงานการแสดงที่แจ้งเกิดให้กับเธอ ทางด้าน "I'm Still Here" หนังน้ำดีจากบราซิล สร้างปรากฏการณ์ได้ชิงออสการ์ถึง 3 สาขาแบบเหนือความคาดหมาย และเป็นรางวัลใหญ่ ๆ แทบทั้งสิ้น โดยการแสดงของ "เฟอร์แนนด้า ทอร์เรซ" สร้างสถิติเป็นนักแสดงบราซิลคนที่ 2 ที่ได้ชิงออสการ์ สานต่อสถิติจากแม่ของเธอ "เฟอร์แนนด้า มอนเตเนโกร" ที่เคยเข้าชิงในปี 1998
หนังแอนิเมชันเรื่องเยี่ยมในรอบปี "The Wild Robot" ได้เข้าชิงถึง 3 สาขารางวัลได้อย่างเหนือความคาดหมายเช่นเดียวกัน ตามมาด้วยอีกหนึ่งแอนิเมชันตัวเต็ง "Flow" ที่มีโอกาสได้เข้าชิง 2 รางวัลเด่น ๆ ทางด้านหนังแวมไพร์ปัดฝุ่นสร้างใหม่ อย่าง "Nosferatu" ก็ค่อนข้างทำผลงานได้ดีในรางวัลด้านงานสร้าง มีชื่อติดโผเข้าชิงมาถึง 4 สาขาในปีนี้
ออสการ์ 2025 ในครั้งนี้ได้มีการตั้งคำถามที่ว่า คณะกรรมการพยายามเลี่ยงผลงานคอนเทนท์ที่มีส่วนประกอบเกี่ยวกับประเด็นทางเพศหรือไม่ เพราะกลายเป็นว่าที่มีเส้นเรื่องโดดเด่นเกี่ยวกับเรื่องเพศ อย่าง "Babygirl" หรือ Challengers และ Queer ได้ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะการแสดงของ "นิโคล คิดแมน" และ "แดเนียล เคร็ก" ที่โดดเด่นระดับแถวหน้า แต่กลับมาสามารถฝ่าด่านเข้าไปชิงรางวัลได้แบบหักปากกาเซียน
ทางด้าน "หลานม่า" ตัวแทนหนังไทยที่ส่งไปเข้าชิงออสการ์ปีนี้ ไม่สามารถฝ่าด่านอรหันต์สุดหินสู่รอบ 5 เรื่องสุดท้ายในรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมได้ ต้องยอมรับว่าปีนี้เผชิญหน้ากับผลงานสายแข็งหลายเรื่องที่เต็มไปด้วยการแข่งขันที่สูงลิ่ว แต่ทว่าการได้มีโอกาสเข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้ายในครั้งนี้ ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการหนังไทยอย่างเกรียงไกรแล้ว
และหนังสายรางวัลอีกหลาย ๆ เรื่องที่กลายเป็นว่าถูกเมิน ไม่มีได้เข้าชิงออสการ์เลยสักรางวัลเดียว ประกอบด้วย "Blitz" หนังดรามาจากอังกฤษที่โดดเด่นบนเวที BAFTA แต่ไม่ใช่กับออสการ์ รวมทั้ง "Furiosa: A Mad Max Saga" ที่ไร้ชื่อเข้าชิงรางวัลด้านเทคนิคงานสร้าง และ "Juror No.2" หนังดรามาสืบสวนสอบสวนที่(อาจจะ)เป็นผลงานทิ้งทวนเรื่องสุดท้ายก่อนเกษียณของ "คลินท์ อีสต์วูด" ก็ดูมองข้ามไปแบบไม่เห็นฝุ่น
สำหรับงานประกาศผลรางวัลออสการ์ 2025 จะมีการจัดขึ้นในวันที่ 2 มีนาคม 2025 หรือตรงกับช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม ตามเวลาในประเทศไทย โดยคุณสามารถติดตามผลรางวัลออสการ์ได้ที่ Movie.TrueID และรับชมการถ่ายทอดสดได้ทางทรูวิชั่นส์ ช่องทรูฟิล์ม 1 (115, 222) ผ่านแพ็กเกจ TrueVisions Now Prime ขึ้นไป
-------------------------------------
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa