ยุค 90 ตอนปลายแบบเราคือยุคที่ยังไม่เฟื่องฟูเรื่องของเทคโนโลยีมากนัก อาจจะเป็นยุคแรก ๆ ที่เทคโนโลเริ่มที่จะเข้ามามีอิทธิพล ทำให้ความสนุกของเราค่อนข้างเรียบง่าย และพูดถึงกันได้ยาว ๆ เพราะการจะทำอะไรนั้นค่อนข้างลำบากอยู่นะ มันก็เลยมีความตื่นเต้น และความสนุกที่ลืมไม่ลง1. นิยายแจ่มใส นิตยสาร หนังสือการ์ตูนภาพถ่ายโดย Britta Jackson จาก Pexels แต่ก่อนความสุขของเราไม่ใช่การเปิดข่าวสาร หรือเล่น Social Media ผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต แต่เป็นอะไรที่ต้องใช้สมาธิและจินตนาการอย่างเช่นการอ่านหนังสือ เช่น นิยายแจ่มใส หนังสือการ์ตูนหนูหิ่น , ขายหัวเราะ , มหาสนุก , ปังปอนด์ , I Like , คู่สร้างคู่สม เป็นต้น พวกนี้ถือว่าทุกคนต้องเคยผ่านมา ในร้านตัดผม ร้านค้า ก็มักจะมีหนังสือแบบนี้ให้เราได้อ่านกันตลอด เราอ่านไม่รู้กี่เล่มต่อกี่เล่ม บางทีอ่านไม่จบไม่ยอมกลับบ้าน นิยายแจ่มใสคือหนังสือที่นิยมมาก ๆ ในตอนนั้น อ่านหนังสือเป็น 200 - 300 หน้าได้ทั้งวัน จินตนาการภาพในหัว รักษาหนังสือยิ่งชีพต้องเอาใส่ปกใส เพื่อนยืมต้องห้ามพับเด็ดขาด จะมีนักเขียนหลายคนที่เราชอบอ่าน เช่น หัวสมองตีบตัน , The Little Finger , May112 ส่วนพวกนิตยสารก็จะชอบดูดวง แฟชั่นต่าง ๆ มีหัวข้อที่น่าสนใจเยอะ โดยเฉพาะ I Like หนังสือที่โตมาพร้อม ๆ กับเราเลย หนังสือการ์ตูนที่ตอนนี้ก็มีหลายเรื่องที่ปิดตัวลง มุกแม้จะไม่ฮามากแต่มันก็สนุกนะ ตอนนี้หาอ่านแทบไม่ได้แล้ว จะมีแต่ร้านค้าบางร้านที่ยังเก็บสะสมไว้ พอเห็นแบบนี้แล้วก็อยากจะเก็บสะสมไว้เป็นที่ระลึกอยู่เหมือนกัน2. แคตตาล็อก จุดเริ่มต้นของการเป็นพ่อค้าแม่ค้าในสมัยก่อน ใครขายถือว่าเก๋มาก มีหลายบริษัทที่ขาย เราก็เคยขายแต่จำไม่ได้ว่าขายของบริษัทอะไร การเริ่มต้นง่ายมาก ๆ ส่วนใหญ่ของข้างในจะเป็นของเด็ก ๆ เช่นของเล่นแกล้งเพื่อน พวกถุงตดบ้าง หมึกล่องหนบ้าง มีชุดนอน ตุ๊กตา ของขวัญ เครื่องประดับ อุปกรณ์ทำผมก็มี แต่ที่ขายดีก็คงเป็นพวกของขวัญและของแกล้งคนมากกว่า ก็วง ๆ กันไว้ว่าใครเอาอะไร เก็บเงิน และส่งเงินพร้อมใบสั่งของไปตามที่อยู่ของแคตตาล็อก จำได้ว่าแต่ก่อนยังเป็นการส่งเงินแบบธนาณัติอยู่เลย หลังจากนั้นเราก็รอของมาส่งที่บ้านแล้วเอาไปให้เพื่อนที่โรงเรียน เพื่อน ๆ ก็จะมารุมล้อมเอาของ รู้สึก Popular มาก ๆ ในตอนนั้น แม้ว่ากำไรจะได้น้อยนิด เป็นแต่เหรียญทั้งนั้นแต่มันสนุกมากภาพถ่ายโดย Mike จาก Pexels3. ร้านเช่าหนังสือ เช่าแผ่น CD เดี๋ยวนี้จะหาอะไรดูก็ง่ายดายมาก ๆ แต่เรายังคงชอบความเรียบง่ายแบบแต่ก่อนที่มีร้านเช่าหนังสือ และร้านเช่า CD ให้เราไปเลือกหามาดู หากว่าอยากอ่านหนังสือสักเล่มก็ต้องไปหาดูที่ร้านเช่าหนังสือแถวบ้าน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกนิยาย หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีเป็นตอน ๆ ต่อกัน เช่าแต่ก่อนเล่มละประมาณ 10 บาท 20 บาท เช่าได้ประมาณ 3 วัน ความหรรษามันอยู่ที่เวลาเราอ่านเรื่องที่มีหลายเล่ม เล่มที่เราต้องการอ่านต่อมักจะถูกยืมไปก่อนหน้าเรา ทำให้เราต้องรอคิวไปอีก 2 3 วัน บางตอนก็ไม่มีซะอย่างงั้น แต่ส่วนใหญ่ถ้าเช่านิยายก็อ่านไม่ทันจนโดนปรับเงินก็มี ร้านแผ่น CD ที่ตอนนี้หายไปหมดแล้ว แต่ก่อนก็ต้องรอหนังออกโรงถึงจะได้ดู ต้องไปรอถามว่าหนังเรื่อวนี้มารึยัง บางทีมีคนมาเช่าดูก่อนหน้าไปอีก บางครั้งแผ่นก็สะดุดเป็นรอย เหมือนการเสี่ยงดวง ยิ่งเราเป็นคนมีพี่น้องก็จะถูกแม่บอกว่า ให้เช่าได้แค่เรื่องเดียว นี่แหละปัญหาใหญ่ น้องจะดูขบวนการ 5 สี เราจะดูบาร์บี้ พ่อจะดูเฉินหลง ต้องแอบแม่เช่ามากกว่า 1 เรื่องทุกครั้ง ฮ่า ๆ ดีนะที่พ่อไม่ห้าม มันดูน่ารักน่าจดจำมากเลยนะทุกคน มันเหมือนการได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวเพราะทุกคนจะมาดูร่วมกันและหัวเสียด้วยกันเมื่อแผ่นสะดุด4. โทรฟรี ยุคหนุ่มจีบสาว สาวจีบหนุ่ม เป็นเรื่องที่วัยเราจดจำได้ขึ้นใจ ความรักที่ต้องแลกมาด้วยความลำบาก แต่ก่อนวัยรุ่นส่วนใหญ่จะใช้ DTAC ซึ่งในตอนนั้นทางค่ายจะออกโปรโมชั่นโทรฟรี 9 บาท โทรฟรีได้ตั้งแต่ 5 ทุ่ม - 5 โมงเย็น เป็นความลงทุนมาก แม้ว่าจะง่วงแค่ไหนเราต้องสมัครและรอให้ถึง 5 ทุ่มก็จะโทรหาแฟนจนหลับไปพร้อม ๆ กันแทบทุกวัน จนเราต้องแยกห้องนอนกับแม่ กลัวแม่ด่า แต่ก่อนเหมือนจะโทรฟรีไม่คิดเป็นชั่วโมง แต่ตอนหลังเปลี่ยนเป็นโทรฟรี 5 ทุ่ม - 5 โมงเย็นครั้งละ 1 ชั่วโมง อันนี้คือมันมาก ต้องจับเวลาการคุยทุก ๆ 1 ชั่วโมง วางแล้วโทรใหม่ทุก 1 ชั่วโมงเพราะถ้าเกินจะคิดราคาค่าโทรตามปกติ ใครที่หลับคาโทรศัพท์ตื่นมาคือตกใจไปเลย ค่าโทรเสียเป็นร้อย ถือว่าต้องอาศัยความแม่นยำให้ดี5. QQ MSN การสื่อสารแบบออนไลน์ครั้งแรกในตอนนั้น จริง ๆ จะมีพวกซิมชิมิด้วย อันนั้นตลกมาก และ QQ จะบอกว่าเป็นการแชทที่ งง มาก เพราะเหมือนคุยหลายคนเราต้องพิมพ์ชื่อคนที่เราจะคุย มันก็เลยดู งง ๆ อ่านไม่ทัน ไม่ส่วนตัว และที่ฮือฮาสุดคือ MSN ที่เราเรียกกันว่าเล่นเอ็ม อันนี้ต้องอาศัยความกล้าโดยเฉพาะการจะขอเอ็มคนที่เราแอบชอบ ไม่มีใครหรอกที่จะหาชื่อคนอื่นมาเป็นเพื่อนในเอ็มได้หากไม่รู้สึกชอบพอกันหรือเป็นเพื่อนกัน การทักแบบมาตรฐานเลยคือ ดีดี ดีจ้า น่ารักซะไม่มี จะคุยกันทีก็ต้องรอเขาออน วันไหนออนไม่ตรงกันก็แห้ว และแต่ก่อนก็ไม่มีคอมพ์ส่วนตัวด้วย ต้องไปเล่นร้านคอมพ์ต้องกะเวลาให้ดี และแต่ก่อนการตั้งชื่อ MSN ให้เท่ ๆ ต้องมีคำว่า ZAA กิ๊บซี่ กิ๊บซ่า อะไรพวกนี้ มาคิด ๆ ดูตอนนี้ก็ตลกชื่อเอ็มตัวเองเหมือนกันภาพถ่ายโดย Pixabay จาก Pexels แต่ก่อนกว่าจะได้อะไรมาจะใช้ความพยายาม ความกล้าพอสมควร มันเลยทำให้เราไม่ลืม และยังคงเป็นที่น่าจดจำที่เราสามารถนำมาพูดคุยกับเพื่อนได้ตลอด ไม่ว่าจะกี่ปีต่อกี่ปี แม้ว่าสิ่งเรานี้จะเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตในช่วงสั้น ๆ ก็ตาม แต่การแอบชอบในสมัยนั้นมันเขินมากเลยนะ ที่เราต้องทักทายเขาก่อนอะไรแบบนี้ ต้องสืบหาชื่อเอ็ม อะไรเอาเอง คิดถึงแล้วก็อายตัวเอง เรียกได้ว่าเป็นความคลาสสิกที่ไม่อยากให้หายไปเลยจริง ๆ แม้สมัยนี้อะไรก็จะดูง่าย สะดวก รวดเร็วกว่า แต่เราก็ยังชอบความยุ่งยากของแต่ก่อนมากกว่าอยู่ดี อยากให้เด็กรุ่นนี้ลองได้สัมผัสจังภาพปกฟรีจาก Canvas