"ไม่มีอนาคตสำหรับคนที่ไม่เห็นอดีต"From Up On Poppy Hill (2011) อีกหนึ่งแอนิเมชั่นเรื่องเยี่ยม ผลงานคุณภาพจาก Studio Ghibli เจ้าเดิม ที่การันตีความอิ่มใจทุกครั้งที่ได้ชม From Up On Poppy Hill เป็นเรื่องราวของหนุ่มสาววัยมัธยม กับการดำเนินชีวิตที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวา ทว่าแฝงไว้ด้วยแนวคิดของความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริงทีเดียว โดยใช้แบล็คกราวด์เป็นบริบทของประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี 1963 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกเกมส์ ภายหลังจากการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เพียงไม่นาน ช่วงเวลาที่เป็นรอยต่อของการเดินหน้าฟื้นฟูประเทศและประกาศศักดานุภาพของความเป็นชาติชั้นนำเพื่อให้ทั่วโลกยอมรับ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งเก่า ๆ ขนบธรรมเนียมเดิมไว้ตามแนวคิดชาตินิยมของญี่ปุ่น From Up On Poppy Hill ได้ถ่ายทอดแนวคิดชาตินิยมของผู้คนในประเทศญี่ปุ่น ผ่านเรื่องราวของตัวละครหลักในเรื่องได้แนบเนียนและแยบยลทีเดียวค่ะ ตัวละครหลักของเรื่อง "อุมิ" เด็กสาวคิดบวกที่ยังยึดติดกับคำสัญญาของพ่อที่ออกเรือไปรบในสงครามเกาหลี แม้สงครามจะจบไปแล้ว และลึก ๆ ในใจเธอจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเธอ แต่เพราะ "ความหวังเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้" อุมิจึงมีกิจวัตรประจำวันที่ทำซ้ำ ๆ อยู่หลายปี นั่นคือการตื่นแต่เช้าเพื่อชักธงขึ้นสู่ยอดเสา ส่งสัญญาณไปยังทะเล เพราะพ่อเคยสอนเธอไว้เมื่อครั้งยังเด็ก ว่าเป็นวิธีสื่อสารของทหารเรือ อุมิทำแบบนี้ทุกวันด้วยความสุข และหวังว่าปาฏิหาริย์จะมีจริง"ชุน" เด็กหนุ่มนักเขียนมือสมัครเล่นของชมรมหนังสือพิมพ์โรงเรียน ด้วยความเป็นนักกิจกรรมที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย ทำให้เขาค่อนข้างเป็นคนที่โดดเด่น เป็นผู้นำของการอภิปรายเพื่อเรียกร้องในประเด็นที่เขาคิดว่าถูกต้อง ตัวละครชุนสื่อให้เห็นถึงความเป็นชาตินิยมของคนญี่ปุ่น ผ่านการเรียกร้องให้รักษาตึกเก่าของโรงเรียน ที่เป็นดั่งอนุสรณ์สถานของประวัติศาสตร์ในชุมชน และเป็นศูนย์รวมใจของนักเรียนมารุ่นต่อรุ่น การรื้อทำลายเพื่อสร้างใหม่จึงเปรียบเสมือนคุณค่าทางจิตใจได้ถูกทำลายไปด้วย นี่คือสองเส้นเรื่องหลักของ From Up On Poppy Hill ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว และสามารถขมวดปมมาบรรจบกันได้อย่างน่าทึ่ง ผ่านความสัมพันธ์ของตัวละครหลักทั้งคู่ และการเดินเรื่องที่แสนจะเรียบง่ายนั้น กลับทำให้เราได้เห็นช่วงเวลาที่เป็นรอยต่อระหว่างการยึดติดกับอดีต และการก้าวไปข้างหน้า ท้าทายแนวคิดชาตินิยมผ่านเรื่องราวเล็ก ๆ ของเด็กมัธยมเหล่านี้เชื่อว่าใครที่ได้ชมเรื่องนี้แล้ว ต้องอดคิดถึงวัยมัธยมไม่ได้เลยจริง ๆ ค่ะ หลายคนคงเคยมีตึกเก่าบางตึกที่โรงเรียน ที่ใช้เป็นแหล่งพบปะกัน ไม่ว่าจะมีสาระหรือไม่ก็ตาม วันหนึ่งหากตึกนั้นถูกทุบทิ้งไปก็คงรู้สึกใจหายไม่น้อย เหล่าตัวละครในเรื่องนี้ก็เช่นกัน ด้วยความผูกพันกับสถานที่ และแนวคิดของความเป็นชาตินิยม ทำให้พวกเขายินดีทำทุกอย่าง เพื่อให้ตึกยังคงอยู่ แต่อย่างไรเสีย การใช้ชีวิตอยู่กับซากปรักของอดีต แม้จะช่วยชุบชูใจเพียงใด แต่การก้าวไปข้างหน้าก็คือสิ่งที่จำเป็นต้องยอมรับให้ได้เช่นกันเสน่ห์ของแอนิเมชั่นญี่ปุ่นอีกอย่างหนึ่งคือ การถ่ายทอดเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วย Key message ที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจวัตรประจำวันซ้ำเดิมของอุมิ หรือการถ่ายทอดวัฒนธรรมของระบบการศึกษา ผ่านฉากในโรงเรียน ทั้งพฤติกรรมของนักเรียนในชมรมต่าง ๆ ที่ต่างก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง และฝักใฝ่ในสิ่งที่สนใจอย่างจริงจัง นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ เพราะระบบการศึกษาที่ปลูกฝังการมุ่งผลสัมฤทธิ์ตั้งแต่ยังเด็ก รวมไปถึงการใช้สิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตยในโรงเรียน การร้องเพลงปลุกใจเสียงประสาน ความสมัครสมานสามัคคีที่บ่งบอกถึงพลังจนคนดูสามารถเชื่อตามไปด้วยได้หลายคนอาจชมแอนิเมชั่นเรื่องนี้ในบริบทของเรื่องราวรักใส ๆ ระหว่างอุมิและชุน ตัวละครหลักของทั้งสองเส้นเรื่อง ต้องชื่นชมผู้กำกับจริง ๆ ค่ะ เพราะตัวละครทั้งสองมีเคมีที่เข้ากันได้ดีมาก ๆ ทำให้รู้สึกเขินตามไปด้วยได้จริง ๆ เสมือนว่าตัวเองเป็นอุมิเลยล่ะค่ะ ฮ่า ๆ ๆ ดูไปก็นึกถึงสมัยวัยเรียนที่ชอบอ่านการ์ตูนตาหวานของญี่ปุ่น เรื่องราวของทั้งอุมิและชุน มาบรรจบกันจนเกิดเป็นเส้นเรื่องที่สาม คือปมความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ที่มีอุปสรรคบางอย่างทำให้ไม่ราบรื่น สร้างดราม่าให้บีบหัวใจเล่น ๆ และมีน้ำตาบาง ๆ ตรงนี้ขอไม่เปิดเผยเนื้อเรื่องดีกว่า รอให้ลุ้นตอนชม เพราะเป็นอีกหนึ่มปมหลักที่ชวนติดตามมากทีเดียวเมื่อต้องเลือกระหว่าง "ความถูกใจ" กับ "ความถูกต้อง" ของสิ่งที่ได้ประสบในเวลานั้น แน่นอนว่าเด็กหนุ่มผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างชุน ต้องเลือกความถูกต้องมาก่อนอยู่แล้ว แม้ความถูกต้องจะทำให้เจ็บปวดใจแค่ไหนก็ตาม ซึ่งตรงนี้ตอกย้ำถึงความเป็นชนชาติญี่ปุ่นที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ และมีความชัดเจนตรงไปตรงมาได้ดีทีเดียวค่ะ ในส่วนของอุมิ ที่ยังยึดติดกับอดีตที่สวยงามของพ่อ และกลัวการเปลี่ยนแปลง แม้ความหวังจะหล่อเลี้ยงจิตใจมานานแค่ไหน แต่วันหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าพ่อไม่กลับมาแล้ว และเธอต้องก้าวต่อไป และแม้พ่อจะไม่กลับมา แต่พ่อได้ส่งของขวัญล้ำค่ามาหาเธอแทน ถึงกระนั้น การชักธงขึ้นสู่ยอดเสาก็ยังคงเป็นกิจวัตรที่อุมิยังทำอยู่ต่อไป ตอกย้ำถึงการไม่ลืมตัวตน ส่วนตัวรู้สึกว่าตัวละครอุมิก็สื่อถึงความเป็นชาติญี่ปุ่น ที่กำลังยอมรับการเปลี่ยนแปลงและเดินหน้าพัฒนาอย่างเต็มกำลัง แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งตัวตนเดิมของตนเองความท้าทายของการดำเนินเรื่อง คือการหาจุดจบให้กับทางเลือกของการก้าวไปข้างหน้า และการรักษาไว้ซึ่งอดีต นั่นคือการหาจุดตรงกลางที่ลงตัว การปรับตัวสู่สิ่งใหม่ แต่ยังคงรักษาสิ่งเก่าได้อย่างเหมาะสม ซึ่งวิธีการนั้นก็แสนจะเรียบง่าย เพราะระหว่างการเดินทางมาถึงจุดจบ ได้ถ่ายทอดแนวคิดสื่อออกมาผ่านเรื่องราวต่าง ๆ แล้ว เสน่ห์ของเรื่องจึงอยู่ตรงนั้นอีกหนึ่งความดีงามของ From Up On Poppy Hill คือเพลงประกอบที่ไพเราะและบีบหัวใจมากค่ะ ยิ่งขึ้นในฉากที่เป็นจุดแตกหักของอุมิกับชุน บอกเลยว่าน้ำตามาแน่นอน ตัวเพลงให้กลิ่นอายตามยุคสมัยของเนื้อเรื่อง อบอวลไปด้วยความเศร้า ให้ความรู้สึกถึงเขม่าดินปืนลอยว่อนในอากาศ (อันนี้ก็คงเกินไป ฮ่า ๆ) แต่รู้สึกถึงบรรยากาศของสงครามจริง ๆ นะ ทดลองฟังกันที่นี่เลยค่ะ "เพลง Kokurikozaka kara"แม้ว่า Mood & Tone ของทั้งเรื่องจะไม่ได้หนักหน่วง มีการแทรกมุขตลกเป็นระยะ สลับกับความน่ารักสดใสของวัยเรียน ถึงกระนั้น ตัวเรื่องซึ่งแฝง Key messasge ไว้หลากหลาย ก็หลีกหนีไม่พ้นความเศร้าลึก ๆ จากบริบทของบ้านเมืองในภาวะหลังสงคราม การสูญเสีย การยอมรับ และการก้าวต่อไปเพราะสงครามไม่เคยสร้างความทรงจำที่ดีให้กับใครขอยกให้เป็นอีกหนึ่งผลงานทรงคุณค่าจาก Studio Ghibli ที่ภูมิใจนำเสนอให้ไปลองชมกันนะคะ สามารถรับชมได้ทาง Netflix และผ่านทางกล่อง True ID ได้เลยค่า :) เรื่อง : ดารัณ พันสวะนัด (ผู้เขียน)ขอบคุณภาพประกอบทั้งหมดจาก : Studio Ghibli Official Trailer