Movie Review The Old Guard 2 (2025) ดิ โอลด์ การ์ด 2 ยังคงดูสนุกดูเอามันส์ได้สมใจไม่ทิ้งดราม่าที่เป็นมาเหมือนภาคแรกแม้ภาพรวมจะเหมือนอัดอั้นไม่สุดแต่เมื่อถึงบทสรุปจะรู้เหตุผล รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! เมื่อห้าปีที่แล้วมีหนังแอ็กชันที่น่าจะแฟนตาซีแต่ไม่เพราะเลือกเสนอตัวมาบนความสมจริงแม้จะเล่าเรื่องของเหล่ามนุษย์อมตะที่มีชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายศตวรรษ จนปัจจุบันพวกเขาเหล่านั้นกลายมาเป็นนักรบที่นำแสดงโดยนักแสดงและนางแบบชาวแอฟริกาไต้ Charlize Theron เป็นตัวเรียกแขกเรียกได้ว่าพอเห็นหน้านักแสดงและหน้าหนังก็เรียกความสนใจได้โข แล้วสิ่งที่เป็นคือหนังก็ออกมาสนุกสมใจนึกบางลำพูด้วยแม้จะยังเป็นเหมือนหนัง Original ของ NETFLIX ที่เป็นเหมือนๆกันคือเป็นความสนุกบนความง่าย แน่นอนเมื่อหนังที่น่าสนใจแล้วออกมาได้รับผลตอบรับที่ดีจึงต้องมีภาคต่อออกมาแม้ว่าความจริงถ้าว่ากันที่ตัวหนังภาคแรกก็เป็นหนังแอ็กชันที่ดูสนุกแต่จบแล้วจบกันไม่มีอะไรให้ต้องจดจำ แต่เมื่อทิ้งเชื้อไว้แล้วยังมียอดรับชมถล่มทลายก็มีภาคต่อออกมาน่ะถูกแล้วกับปีนี้ที่ผ่านมาถึงห้าปีและคราวนี้นอกจาก Charlize Theron แล้วยังมี Uma Thurman มาเป็นตัวร้ายพร้อมกับซุปตาร์จากประเทศเพื่อนบ้านที่เปิดตัวได้น่าสนใจในภาคที่แล้ว Veronica Ngo หลังจากสูญเสียความเป็นอมตะ Andy (Charlize Theron) ก็ยังนำทีมนักรบมนุษย์อมตะประกอบด้วย Nile (KiKi Layne),Joe (Marwan Kenzari) และ Nicky (Luca Marinelli) ทำงานต่อไปแม้ว่าตัวเธอเองจะตายได้ทุกเมื่อ และปัจจุบันทีมนักรบอมตะได้ทำงานร่วมกับ CIA โดยมี Copley (Chiwetel Ejiofor) คอยประสานงาน อีกด้านหนึ่งก็มีมนุษย์อมตะอีกคนคือ Discord (Uma Thurman) ได้ช่วย Quynh (Veronica Ngo) จากการถูกจองจำไต้มหาสมุทรด้วยเหตุผลบางอย่างเพราะ Quynh เคยมีอดีตพัวพันกับ Andy แน่นอนเมื่อ Quynh ที่เหมือนกับถูก Andy หักหลังเธอจึงร่วมมือกับ Discord เพื่อก่อการร้ายให้พวกมนุษย์ได้เจ็บปวดเหมือนกับเธอ อย่างกระนั้นเลย Andy ที่ระแคะระคายบางอย่างจึงไปขอความร่วมมือจาก Tuah (Henry Golding) และได้รู้เรื่องที่เธอไม่เคยรู้ทีมเลยมี Tuah เพิ่มมาอีกคนโดยที่ Tuah และ Booker (Matthias Schoenaerts) อดีตเพื่อนร่วมทีมที่กลับมารู้ว่าจะสามารถคืนความเป็นอมตะให้ Andy ได้เพื่อไปยับยั้งแผนการของ Discord เดินทางบนเส้นทางเดิมคือเล่าเรื่องอารมณ์ความรู้สึกเพื่อให้เห็นแรงจูงใจที่อาจดูมากไปนิดแต่เมื่อถึงตอนท้ายก็รับได้ เมื่อภาคแรกก็แบบนี้คือพยายามเล่าเรื่องให้ได้ด้วยบทที่ดีพอใช้จึงทำถึงในระดับที่จับต้องได้กับความทรมานบนสิ่งที่ต้องแลกของคนที่มีชีวิตอมตะ แล้วเดินหน้าเข้าหาฉากแอ็กชันที่จังหวะลงตัวหนังเลยออกมาสนุกคนดูดูแล้วบอกต่อเมื่อมาภาคนี้เป็นหนังภาคต่อก็ยังไม่ทิ้งสิ่งที่เคยเป็น นั่นคือการเล่าเรื่องให้ได้เพื่อให้เห็นแรงจูงใจที่คราวนี้อาจไม่ได้ลงลึกถึงก้นบึ้งแต่เป็นเรื่องอดีตที่ส่งผลกับปัจจุบัน ซึ่งเอาจริงแล้วถ้าว่ากันที่ภาคนี้ตั้งแต่ต้นจนถึงฉากสุดท้ายยังมีอะไรที่ไม่เคลียร์หลายอย่างและการเล่าเรื่องที่มีธงชัดกับการขโมยความเป็นอมตะเมื่อรู้ว่าสามารถถ่ายพลังกันได้มันคือเรื่องภายนอก ดังนั้นเมื่อเรื่องที่ระบายมิติไว้มันมีไม่มากแต่อยากเล่าให้มากมันเลยดูมากไปนิดทำให้เหมือนเสียเวลากับการเล่าเรื่องจนการรอคอยฉากแอ็กชันมันนานไป กระนั้นเมื่อดูไปถึงตอนท้ายก็ถึงบางอ้อเพราะใช้ลูกเล่นแบบที่หนังสมัยนี้เป็นคือการจบค้างไว้เพื่อไปต่อก็พอรับได้นะ เมื่อเล่าเรื่องนานก็รอการมาของความมันส์กันนานแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะมันชดเชยด้วยความรู้สึกและเมื่อถึงเวลาก็สนุกสมใจ เมื่อเป็นหนังที่รอคอยความคาดหวังมันย่อมมีใช่หรือไม่แถมยังเป็นหนังภาคต่อที่โดยมากไม่ต้องมัวมาปูเรื่องคือเดินหน้าเข้าหาความบันเทิงได้เต็มที่ ทว่าเรื่องนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อแน่นอนว่าไม่ต้องปูเรื่องหรือแนะนำตัวละครแต่ดันเปิดประเด็นใหม่หรือมีเรื่องใหม่มาเล่าซึ่งความจริงมันก็คือเชื้อที่ถูกทิ้งไว้จากภาคที่แล้ว แล้วแถมยังไม่ยอมสะเด็ดน้ำคือปล่อยทิ้งค้างเติ่งไว้ไปต่อคือเหมือนแบ่งออกเป็นสองภาคที่ก็รู้สึกถูกหลอกกลายๆเพราะไม่ได้เตรียมใจมาเลยกลายเป็นว่าเหมือนเล่าเรื่องนานเกินไปมีอะไรให้เล่ากันนักหนา แต่เมื่อคิดว่ามันคือครึ่งแรกก็พอทำใจได้เพราะอย่างน้อยการเล่ามากก็ชดเชยด้วยความรู้สึกที่เข้าใจในตัวละครและเอาใจช่วยเล็กๆเพราะเหมือนตัวละครจะได้ใจ แล้วเมื่อถังเวลาก็อัดความมันส์มาแบบสาแก่ใจในไคลแม็กซ์ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีความมันส์ใส่มาอย่างสนุกแล้วแค่ว่าคาดหวังว่ามันน่าจะมากกว่านี้สักหน่อยแต่ก็ถือว่าไม่ผิดฟอร์ม เป็นหนังแอ็กชันที่พยายามมีหัวใจมาตั้งแต่ภาคแรกแล้วและยังไม่ทิ้งยิ่งได้ระดับสองตัวแม่มาประชันในบทแบบนี้ก็ขนมหวานเท่านั้น แม้ว่าจะมีนักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นหูเพิ่มเข้ามาและที่มาจากภาคที่แล้วทั้ง Chiwetel Ejiofor และ Henry Golding แต่นี่คือหนังประชันพลังกันของสองตัวแม่คือ Charlize Theron กับ Uma Thurman เพราะสองตัวแม่ขยันปล่อยพลังดาราและบารมีใส่กันแบบไม่มีใครยอมใครแถมเมื่อมาอยู่ในหนังแอ็กชันเท่ๆแบบนี้ที่มองมุมไหนก็ดูดีแม้ว่าจะเห็นความโรยราอย่างชัดแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา แน่นอนเมื่อหนังพยายามเล่าเรื่องสิ่งที่ตามมาคือจะต้องมีความน่าเชื่อถือด้านแรงจูงใจแต่เมื่อบทหนังไม่ได้พยายามลึกล้ำช้ำในมากไปกว่านี้การแสดงในบทแบบนี้สองตัวแม่คงบอกว่าขนมหวาน แต่ที่น่าสนใจปนทึ่งคือตัวแม่จากเวียดนามประเทศเพื่อนบ้านที่มองๆไปก็คล้ายคุณบุ๋ม ปนัดดาแต่ว่าเป็น Veronica Ngo หรือโหง ธานฟาน เพราะพลังดาราและเสน่ห์ออกมาจนเข้าฉากกับทั้ง Charlize Theron กับ Uma Thurman ได้แบบไม่โดนกลบฝังได้ แม้ว่าในภาพรวมอาจดูคล้ายคนถ่ายไม่สุดอัดอั้นตันทวารหนักแถมยังเหมือนเล่าเรื่องมากไปแต่เมื่อจบแบบต้องมีภาคต่อไปก็โอเค ที่บอกว่าเหมือนโดนหลอกคือผู้เขียนดูเรื่องนี้ไปจนเกือบจบด้วยอาการคล้ายถ่ายไม่สุดอัดอั้นตันทวารหนักอยากเรียกหายาระบายเพราะยังรู้สึกไม่สมการรอคอย เพราะรู้สึกว่าหนังพยายามเล่าเรื่องมากไปทั้งที่เรื่องที่จะไปมีเพียงเส้นเดียวคือพยายามใช้อดีตกระทบจิตใจซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น ซึ่งเมื่อเล่ามากฉากแอ็กชันก็น้อยไปหน่อยถ้ายอมรับว่าคาดหวังไม่น้อยเพราะธรรมชาติของหนังภาคต่อมักไม่ค่อยพูดพล่ามทำเพลง แต่ทันทีที่เอ็นด์เครดิตขึ้นมาพร้อมกับการไม่สะเด็ดน้ำปล่อยไว้ให้ค้างคาเพื่อว่ากันต่อในภาคต่อไปเมื่อนั้นจึงเกิดดวงตาเห็นธรรมว่านี่คือความจงใจให้เป็นหนังสองภาคเป็นแม่นมั่นคือจบค้างไว้เพื่อให้อยากดูต่อเหมือนที่หนังสมัยนี้มักเป็นคือบอกว่าเป็นภาคสุดท้ายแต่ดันมี Part 1 Part 2 ซะงั้น สุดท้ายเมื่อเข้าใจได้แม้ว่าจะเหมือนโดนหักหลังก็รับได้และโอเคแต่สิ่งที่ตามมาคือความคาดหวังจะไปทบต้นทบดอกในภาคหน้า ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 จาก Instagram charlizeafrica ภาพที่ 2,3,4 จาก Instagram netflixjp จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !