ก่อนดูเรื่องนี้ ผมได้ทราบข่าวจาก Facebook เกี่ยวกับหนังว่า ได้มีการซื้อหนังเรื่องนี้มาฉายให้ชมโดยไม่รู้มาก่อนว่าเรื่องนี้เป็นแนวอะไร เกี่ยวกับอะไรบ้าง แถมไม่ได้ดู Trailer อะไรอีกตังหาก พอเข้าไปอ่านเรื่องย่อตาม website แล้ว เออ น่าสนใจแฮะ ที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือ เป็นแนว Sci-Fi ซึ่ง ผมประหลาดใจมากว่า เฮ้ย ปกติแล้วภาพจำที่เราเห็นทั่วไปประเทศลาวแบบชนบท มีความภูธรบ้านเฮาคล้ายกับพี่ไทยบ้านเรา แต่ในเมื่อมา Fusion กับ Folk Horror ( ประเพณี ภูตผีปีศาจ ) + Mystery ( ไสยศาสตร์ ) สไตล์เอเชียเข้าแล้ว รู้สึกถึงความแปลกใหม่สำหรับบ้านเค้า เป็นหนังประเทศลาวที่มีไอเดียดีกล้าฉีกขนบธรรมเดิมแต่ยังคงความติดดินแบบล้ำสมัยอยู่ ซึ่งเหนือกว่าบ้านเราไปแล้ว ผมนี้ไม่รอช้า ตัดสินใจดูทันทีว่าจะดีสมคำร่ำลือที่เขาว่ากันหรือไม่หลังจากดูจบด้วยระยะเวลา 1 ชั่วโมง 56 นาที ภาพรวมสำหรับผมสนุก แม้ช่วงต้นเรื่องเดินเรื่องช้าไปบ้าง ลุ้นระทึกไปตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง ผมยกให้เป็น 1 ใน List ที่ชอบสุดของปี 2021 เลย เป็นการผสมผสานเรื่องของภูมิปัญญา ความเชื่อทางไสยศาสตร์ กับ หลักการทางวิทยาศาสตร์ได้ลงตัว จะพูดว่า เป็นการนิยาม Sci-fi ในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างออกไปเห็นได้ชัดก็ว่าได้ คือ ไม่มี CG สวย ๆ ประกอบฉากด้วยทุนสร้างแพง ๆ เพื่อตัดต่อภาพเก๋ ๆ ให้เสียเงินมากมาย แค่ใช้ Concept ในการหาข้อเท็จจริงของเหตุและผลทางหลักวิทยาศาสตร์ก็พอ โอเค บางฉากผู้กำกับใส่ Gadget เข้าไปแทรกด้วย เช่น จรวด หรือ บาร์โค้ดที่แขน ( เหมือนเรื่อง In-Time (2011) ) เพื่อเพิ่มลูกเล่นให้รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ในโลกอนาคตนั่นเอง ขณะเดียวกันปมของหนังได้สะท้อนถึงวิถีชีวิตของสังคมเมืองกับชนบทว่าชาวบ้านที่ต่อให้โลกพัฒนาไปไกลแค่ไหน ก็ยังไม่พ้นปัญหาจากความเหลื่อมล้ำจากการเอาเปรียบจากผู้มีอำนาจอยู่กลาย ๆ จะด้วยคำพูดหรือกิริยาท่าทาง เช่น ฉากคนงานจากบริษัทในเมืองไปทำแผง Solar Cells ก็ตาม บ่งบอกถึงมุมมองจากคนภายนอกแบบจำยอมอยู่กับที่โดยก้าวไม่พ้น Mindset เดิม ๆ ออกไปซะทีช่วงแรก Open ได้น่าสนใจ เผย Story ออกมาให้สงสัยเลย หลังจากนั้นให้เราคิดตามต่อไปทีละนิด สืบสาวราวรักทีละหน่อยอย่าง Slow แต่บรรยากาศเงียบมาก ยิ่งเป็นตอนกลางคืนนี้มืดเลยจนผมเผลอหลับไปซักพัก มาตืนอีกทีตอนตัวละครตาลุงวิ่งหนีจากบ้าน บวกกับ Sound ที่ดังขึ้น ปลุกสติผมขึ้นจูนเครื่องให้ดูต่อไปได้ หลักจากนั้นแหล่ะสนุกขึ้นมาทันที บรรยากาศสภาพบ้านเมือง Real เป็นธรรมชาติ เพราะ อยู่ในชนบททั้งเรื่อง Location หลักจะ Set เพียงแค่ บ้าน / ศาลร้าง และ สุสาน เท่านั้น แต่หนังใช้พื้นที่ได้คุ้มค่ามาก โดย 3 สถานที่ดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับปมของตัวละคร 3 คน อย่าง ตาลุง / เด็กชาย และ หญิงสาว ด้วยกัน ภาพแสงสีให้ความรู้สึกยุค 60 - 70 ที่มีความขลังโบราณแบบหนังยุคคุณพ่อคุณแม่ ฉากกลางคืนน่ากลัวทั้งสถานที่ทั้งผีเอย ป่าดงเอย แบบย้อนยุคจริง ๆ สำเนียงเขา Speech ภาษาลาว จึงมี Sub ไทยด้านล่าง แต่ตัวอักษรเล็กมากอ่านลำบาก เลยอาศัยดูจากการสนทนาจากปากตัวละคร เข้าใจบางคำเพราะมีการใช้คำไทยเหมือนกัน เสียงบ้านเขาเหมือนกับอีสานบ้านเรา เพราะประเทศลาวกับประเทศไทยเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี หรือ ความเชื่อบางอย่างคล้ายกับไทยเราอยู่ เราจึงรู้สึกอินในสายใยแห่งความผูกพันกันไม่ยากส่วนที่ตำหนิหน่อย คือ หนังไม่เคลียร์กับปมที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนเท่าไหร่ เช่น หญิงสาวมาจากไหน ใครเป็นคนฆ่า และ ทำไมลูกสาวของแม่ผู้ตายถึงมาอยู่บ้านตาลุงได้ เป็นต้น คือ บอกจุดประสงค์ไม่ชัดเจน จึงไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก ข้อแนะนำคือ ต้องตั้งใจดูตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะ Detail แฝงเยอะมาก ถ้าไม่สังเกตุให้ละเอียดจะดูไม่รู้เรื่อง แถมพลาดข้อมูลสำคัญด้วย ดังนั้นควรดูซ้ำซัก 2-3 รอบเพื่อให้เข้าใจ Keywords เพื่อจะนำไปเป็นบทสรุปอีกมุมนึงเพื่อให้คนดูตกผลึกคิดต่อแล้วนำไปศึกษา วิเคราะห์ แยกแยะต่อไปให้กระจ่างแจ่มแจ้งดีกว่า นักแสดงนำเรื่องหลัก อย่าง ตาลุง / เด็กชาย / หญิงสาว แสดงดี ช่วยกันประคองเรื่องให้ติดตาม ทุกคนมี Scene มี Timeline ของตนเอง ไม่มีใครกลบใคร ส่วนมีตัวละครสมทบอื่นด้วยไม่มาก แม้ไม่เด่นเท่า 3 คนที่ว่าแต่ขาดไปไม่ได้เช่นกัน Mattie Do ผู้กำกับหญิงแกร่งชาวลาว จาก น้องฮัก (2016) พัฒนาฝีมือจากเรื่องเก่าไปมากแบบก้าวกระโดดไม่ติดฝุ่น เพราะ องค์ประกอบ / วัตถุดิบ / โครงสร้าง หรือ การวางปมประเด็นเข้าที่เข้าทางทุกจุด กำหนดทิศทาง Story ได้แม่นยำ เธอรู้ดีว่าจังหวะไหนคนควรจะโผล่ ผีควรจะโผล่เพื่อไม่ให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่การจงใจเกินไป ผมว่าเป็นงานท้าทายความสามารถทั้งตัวผู้กำกับ ทีมงานไปด้วย รวมทั้งได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ แถมได้รางวัลจากเทศกาลนานาชาติเวนิส ปี 2019 ด้วย นี่คือไปเบิกทางสู่โอกาสก้าวไปสู่เวทีรางวัลระดับโลกอย่าง Oscar ก็เป็นได้ ฮะ ๆการหยิบยกประเด็นทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง เวลา แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในปัจจุบัน แต่ผู้กำกับหลายท่านต่างเคยหยิบยกเอาประเด็นนี้นำมาสร้างต่อมานับไม่ถ้วน เอาที่แนวที่คล้ายกันล่าสุดอย่าง Tenet (2020) ของเสด็จพ่อ Christopher Nolan เทพแห่งปรัชญาของจริง จะบอกว่าเอา concept มาเหมือนกันก็ไม่ถูก เพราะเรื่องนี้มาก่อน Tenet อีก เพราะฉายปี 2019 แล้ว หนังก็พูดคนละประเด็นอีกตังหาก เรื่องนี้สเกลเล็กกว่ามาก แต่ดูยากเหมือนกัน มีความจับต้องได้ สัมผัสได้ง่ายกว่าในเรื่องสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติ และ บาปบุญ คุณโทษแบบชาวบ้านที่เคารพเชื่อต่อกันทางฝั่งเอเชีย บางทีการดูหนัง หรือ การดำรงชีวิตไม่ต้องหาสูตรทฤษฎีในหนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ให้ยุ่งยาก แค่ใช้ชีวิตปกติ มีสติ สะสมความคิด บำรุงความรู้สึกแล้วปล่อยกายปล่อยใจไปกับมันก็จะได้อรรถรสอย่างเต็มที่แน่นอนขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share ที่เพจของผมชื่อ EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไปกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย :Twitter / longwalkfilm = ภาพประกอบที่ 1Facebook / thelongwalkfilm = ภาพประกอบหน้าปก / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !