แอน เด็กสาวที่ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งตามลำพัง เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและมาที่นี่ได้อย่างไร แต่ตอนนี้ เธอต้องรีบหาวิธีเอาตัวรอดจากฆาตกรหัวกวางและออกจากสถานที่แห่งนี้ไปให้ได้หาก six characters มายาพิศวง (2565) คือ การจิกกัดวงการละคร - ภาพยนตร์ในโลกมายาคติอย่างแสบสันต์ ฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นการตบหน้า Social ในโลกอุดมคติที่เต็มไปด้วยความฉาบฉวย สิ่งปรุงแต่งทางศีลธรรมของความเป็นมนุษย์ผ่านค่านิยมการบูชาตัวบุคคล อยากเป็นเน็ตไอดอล คนดังทั้งหลายอย่างเลือดเย็นจนหน้าชาไปข้างนึง ถ้าเปรียบเทียบระหว่าง 2 เรื่องนี้ ในแง่สุนทรียศาสตร์อันงดงามมอบให้เรื่องนั้น แต่ทางด้านมานุษยวิทยายกให้เรื่องนี้ที่สัมผัสถึงด้านมืดของสังคมได้มากกว่าเป็นผลงานของผู้กำกับมากประสบการณ์อย่าง คุณคมเดช จาตุรันต์รัศมี ผู้ที่เคยฝากผลงานกำกับมาแล้ว อาทิ สยิว (2546) , เฉิ่ม (2548) และ Where we belong (2562) ควบตำแหน่งการเขียนบทร่วมกันกับคุณราสิเกติ สุขกาล นักออกแบบมือรางวัลที่ขึ้นมาเป็นผู้กำกับครั้งแรก รวมถึงเรื่องนี้ใช้นักแสดงสาวใสได้เปลืองที่สุด มากกว่าทุกเรื่องที่เคยดู service จัดเต็มเหล่าโอตะวัยทีนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น คูมอิ๊งค์ วรันธร จาก snap แค่..ได้คิดถึง (2558) , ปันปัน สุทัตตา จาก ลัดดาแลนด์ (2554) , วี วีโอเล็ต จาก ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ (2558) , ออกแบบ ชุติมณฑณ์ จาก ฉลาดเกมส์โกง (2560) และอื่น ๆ ทุกคนเป็นส่วนประกอบสำคัญที่มาเต็มเติมให้ตัวละคร แอน มีเลือดเนื้อ มีจิตวิญญาณ รัก โลภ โกรธ หลง ได้อย่างงดงาม ไม่มีใครเด่นกว่าใคร แม้ว่าแต่ละคนจะออกมาไม่กี่ฉาก มาไวไปไวเหลือเกิน รวมถึงช่วยทำให้ตัวละครที่ชื่อ แอน น่าจดจำในแง่ความหลากหลายที่ซับซ้อนทางกายภาพและชีวภาพ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยาก และ ท้าทายมากสำหรับการที่มีคนหลายคนมาสมบทเป็นตัวละครเดียวกันแล้วสามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่าเป็นคน ๆ นั้นจริง ๆ ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 56 นาที ที่เสิร์ฟความสนุกตั้งแต่วินาทีแรกจนนาทีสุดท้ายแทบจะไม่มีช่วงพักให้หายใจกันเลย อารมณ์เหมือนนั่งดู Horror Slasher ผสม Time Loops เล่นเกมส์ประกอบจิ๊กซอว์ค้นหาคำตอบฝ่าภารกิจทำ Quest กัน ระหว่างทางจะมีฆาตกรมาเป็นคู่ต่อสู้เพื่อเพิ่มความตื่นเต้น ซึ่งมีกลิ่นไอของหลักจิตวิทยาคล้ายกับ Inception (2010) ของเสด็จพ่อ Christopher Nolan กับ ผู้กำกับ Jordan Peele จาก Nope (2022) ในแง่การใช้ symbol ตีความหมายเชิงสัญลักษณ์อยู่หน่อย ๆ ซึ่งให้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำกับทางเดิม แต่ละ scene มี keywords ซ่อนอยู่แทบจะทั้งเรื่อง ทั้งบทพูดตาม dialogue หรือ สภาพแวดล้อมรอบตัวก็นำมาตั้งคำถามได้หมด ซึ่งไม่ค่อยมีผู้กำกับคนไหนที่กล้าฉีกภาพจำเดิม ๆ แล้วนำเสนอในการเล่าที่ค่อย ๆ Advance ต่อไปให้สุด แต่ยังคง Concept ได้ขนาดนี้ ขอคารวะฮ่องเต้เลย Location หลัก ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงพยาบาล ใจความสำคัญต่าง ๆ จะซ่อนอยู่ข้างทาง ผู้กำกับสามารถรังสรรค์สถานที่อมทุกข์แห่งนี้ให้มีชีวิตชีวาได้ดี พร้อมทั้งประเคนเทคนิคภาพสปอต์ไลท์ มืด ๆ ห้องแคบ ๆ แต่ว่างเปล่า , ทางเดินเปลี่ยว ๆ แม้กระทั่งเพลงประกอบ เป็นไปไม่ได้ ของ วง ดิ อิมพอสสิเบิ้ล คือจังหวะ มุมกล้อง การตัดต่อ การ Design แต่ละอย่างเข้ากับบรรยากาศของความหวาดระแวงชวนหลอนผ่านตัวละครออกมาได้อย่างลงตัว ขณะเดียวกันยังคงเอกลักษณ์ในด้านการเสียดสีสังคมแบบ Realistic ที่ยียวนกวนประสาทในสไตล์คุณคมเดชเช่นเคย ส่วนที่ติจะมีตรงปมของตัวละครรู้สึกไม่ค่อยชวนให้เห็นใจเท่าไหร่ เพราะส่วนหนึ่งมาจากการกระทำของตัวละครที่อยากมีแสงจนกลายเป็นการเรียกร้องความสนใจโดยไม่รู้ตัว แต่ประเด็นสังคมนำเสนอภาพโหดร้ายดี ในเฉพาะช่วงท้าย เล่นใส่เทคนิค แสง เสียง Effect มากมายจนมันมือไปหน่อย ภาพที่เห็นจึง Fantasy จนกลายเป็น ดิสโก้เธอย่อม ๆ อยู่แล้ว แต่ยังคุม theme ที่กำหนดไว้ได้เข้าที่อยู่ รู้สึกประทับใจเรื่องนี้มาก หนังจบแต่อารมณ์ไม่จบ เหนือความหมายที่วางไว้ รู้สึกว้าวเหมือนตอนดูหนังลาวเรื่อง The long Walk (2021) ของผู้กำกับ Mattie Do ทั้งแปลกใหม่ ทะเยอทะยาน แล้วไปสุดทางของมันอีกด้วย เปลี่ยนมุมมองกลับมามองภาพยนตร์ไทยขึ้นมาหน่อยหนึ่งว่า บ้านเรามีของดีไม่แพ้ชาติอื่นนี่หว่า ทั้งคุณภาพงานสร้าง บทเอย หรือ องค์ประกอบต่าง ๆ ในภาพรวมเทียบเท่าหนังต่างประเทศได้เลย ซึ่งผมว่าแนว Thriller นี้แหล่ะที่สามารถขายได้ต่อจาก Comedy กับ Horror ถ้ามีบทดี มีทุนรับรองควรส่งเสริมแนวนี้เจาะเข้าตลาดต่างประเทศเยอะ ๆ ขึ้นไปอีก สรุป แม้หน้าหนังจะเป็น Horror ไล่ล่าหนีตายจากฆาตกร แต่แท้จริงมันคือหนังดราม่า ทริลเลอร์ จิตวิทยาที่เข้าไปสำรวจสภาวะทางกายและจิตใจของมนุษย์ผ่านระบบโครงสร้างของสังคมปัจจุบันที่มีการแข่งขัน แย่งชิง มีตัวตนในโลกสังคมนิยมจากการสร้างกฎเกณฑ์ วางเงื่อนไข บรรทัดฐานให้เป็นแบบนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ตามวิสัยทัศน์คนรุ่นก่อนมากมายจนเกิดความเหลื่อมล้ำแล้วดันมีผลกระทบต่อชีวิตคนรุ่นใหม่ ยุค Gen Z ที่เติบโตมาด้วยความเคลือบแคลงใจทางศีลธรรมจนเกิดการตั้งคำถามซ้ำ ๆ ไร้คำตอบจนทนไม่ไหวลุกขึ้นปฏิวัติต่อต้านต่อธรรมเนียมเดิมโดยที่พวกเขาไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบจากการกำหนดสิ่งเหล่านั้นทั้งสิ้น ดังนั้น การสร้างตัวตน จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้คนอื่นยอมรับมีที่ยืนในสังคม เมื่อสร้างมากไปอาจทำให้เรากลับไปตั้งคำถามใหม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นใครกันแน่ ? ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย :Twitter / MPicturesMovies = ภาพประกอบหน้าปก 1 Facebook / mpictuesmovies = ภาพประกอบหน้าปก 1 / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7 คอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน