Movie Review GATAO: Like Father Like Son (2024) เจ้าพ่อ: เชื้อร้ายไม่ทิ้งแถว ลุ่มลึกเข้มขลังทรงพลังดั่งหยุดเวลาไว้ที่ความคลาสสิคของหนังแก๊งสเตอร์ฮ่องกงยุค 90 ที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังชุดนี้ รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! สิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผู้เขียนชอบดูหนังไต้หวันคือหนังไต้หวันส่วนมากหรือเท่าที่เห็นและผ่านตาจะเหมือนหยุดเวลาไว้ที่ยุค 90 ในด้านโทนเรื่อง ภาพ และสี แน่นอนว่าผู้เขียนเองในวัยขนาดนี้คือโตมากับหนังฮ่องกงยุค 80-90 ที่เป็นความคลาสสิคที่ตรึงใจที่ปัจจุบันยังถวิลหาแต่ไม่สามารถหาได้จากหนังฮ่องกงเพราะการพัฒนาและการตลาด แต่กับหนังไต้หวันยังคงเหมือนหยุดอยู่กับช่วงเวลานั้นที่พัฒนาขึ้นคืองานด้านบทที่ไต้หวันไม่เคยละเลยทำให้ตัวหนังออกมาดูมีความแข็งแรงมีพลังดึงดูด และที่เป็นความพิเศษคือหนังไต้หวันจะเป็นภาวะเป็นจริงมากกว่าหรืออาจเรียกว่าไม่ได้ปรุงแต่งเรื่องดราม่าและชีวิตหรือเรียกง่ายๆว่าหนังไต้หวันมันคือการเอาชีวิตบ้านๆมาเล่าทำให้จับต้องง่ายจึงง่ายสำหรับการจับใจแต่บางครั้งก็อาจต้องแลกมากับการเล่าเรื่องที่อาจไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก และสำหรับหนังเรื่องที่ท่านกำลังจะได้อ่านบทความนี้นี่คือการขึ้นจอครั้งที่สี่ของหนังชุดนี้ที่เหมือนย้อนกลับไปยังหนังแก๊งสเตอร์ฮ่องกงยุค 90 อย่างที่ว่าด้วยบทที่แน่นกว่าและอารมณ์ถวิลหาแรงๆ ไมเคิล (ซันนี่ หวัง) ลูกชายเจ้าพ่อที่แหกคอกด้วยการค้ายาโดยมีแมงป่อง (แฮร์รี่ ชาง) สมุนมือขวากระทำการทุกอย่างโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมหรือตั้วเฮียของแก๊งอื่น อีกด้านหนึ่งหม่ง (ฉีหมิงฉ่วย) ก็ออกจากคุกมาโดยมีสองเพื่อนซี้เปา (ชางไซ่ชิง) และชิง (เจิ้งเจนเฉา) รอรับอยู่และหม่งสาบานว่าจะไม่กลับไปเข้าคุกอีก ทว่าเมื่อต้องการเงินก้อนใหญ่หม่งจึงไม่มีทางเลือกที่จะพยายามขายยาให้กับไมเคิลแต่ก่อนที่จะทำธุรกรรมชั่วไมเคิลได้จ้างให้หม่งและพวกไปปล้นบ่อนแห่งหนึ่งซึ่งทั้งสามเพื่อนซี้ก็ทำได้ แต่บ่อนนั้นกลายเป็นบ่อนของเจ้าพ่ออีกแก๊งหนึ่งซึ่งเป็นพันธมิตรกับพ่อของไมเคิลมันจึงเป็นการหักหน้ากันและแน่นอนว่าไมเคิลคิดการใหญ่ในการจะขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อรุ่นใหม่ แต่ในวงพวกนักเลงต่อให้เป็นคนชั่วก็ยังมีสัจจะมีน้ำใจมีความยอมรับนับถือซึ่งกันและกันเมื่อลูกชายของเพื่อนร่วมวงการทำการหยามน้ำใจคนอื่นต้องได้รับผลตอบแทน และแล้วนั่นคือสงครามระหว่างแก๊งที่กำลังจะเกิดโดยที่มีหม่งและพวกอยู่ตรงกลางแล้วชีวิตจะพาพวกเขาไปสู่จุดไหน บทหนังยังคงเนี้ยบแน่นเข้มขลังสัมผัสนอกสัมผัสในครบแต่เมื่อชื่อเรื่องแบบนี้จึงคล้ายกับเล่าเรื่องผิดทิศทาง พล็อตประมาณนี้เรื่องการพยายามก้าวขึ้นมาใหญ่ของมังกรรุ่นใหม่ที่ห้าวแต่ไม่ฉลาดโดยมีคนดีไปอยู่ตรงกลางผิดที่ผิดทางคงสามารถย้อนกลับไปยังหนังแก๊งสเตอร์ยุคก่อนเอาชัดคือยุคแห่งกู๋หว่าไจ๋ แต่บทหนังคือแน่นกว่ามีสัมผัสนอกคือเรื่องของคนนอกแก๊งที่มีเรื่องเล่าของตัวเองที่มาสัมผัสกับสัมผัสในคือการหักหลังหักเหลี่ยมในวงพวกนักเลงคือความแน่นเนี้ยบ กระนั้นเมื่อชื่อเรื่องบังคับว่า Like Father Like Son มันควรเป็นเรื่องพ่อกับลูกที่ถ่ายทอดความเป็นทายาทอสูรให้กันกลับบางเบาเพราะบทไม่ไปทางพ่อ แต่บททิ้งน้ำหนักไปยังตัวลูกที่แหกคอกคล้ายจะสื่อถึงการละเลยในการอบรมดูแลแต่เมื่อไม่เล่าทางพ่อให้พอดีมีความขาดส่วนนี้เลยดูผิวเผิน แถมยังไปลงลึกเรื่องของสามสหายที่มาอยู่ตรงกลางที่เอาจริงถ้าไม่มีส่วนนี้ก็ไม่เสียหายด้วยซ้ำทำให้เรื่องเหมือนเดินผิดทิศทางกับชื่อเรื่องแต่ไม่ว่ายังไงนี่คือการเขียนบทที่ดีแต่ไปคนละทางกับชื่อเรื่องเท่านั้น เข้มข้นทรงพลังอึดอัดกดดันสะกดอารมณ์ให้ต้องติดตามตามสไตล์หนังชุดนี้ นี่คือการขึ้นจอครั้งที่สี่ของหนังชุดนี้ที่กลายมาเป็นแฟรนไชส์ไปแล้วแต่ถึงไม่ไม่ได้ดูภาคก่อนๆมาก็ยังดูรู้เรื่อง อย่างผู้เขียนได้ดูภาคก่อนๆมายังเห็นว่าแต่ละภาคมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเองมีประเด็นของตัวเองอย่างภาคที่แล้ว The Last Stray ก็ออกไปทางโรแมนติกเรื่องของนักเลงที่อยากกลับตัวเมื่อมีความรัก แต่ทุกครั้งที่หนังชุดนี้ขึ้นจอบทหนังจะมาพร้อมความเข้มข้นถึงเบื้องลึกในความคิดและจิตใจประมาณให้คนดูคิดตามว่าถ้าเป็นเราเองไปอยู่ตรงนั้นเราจะคิดและตัดสินใจยังไง นั่นคือความเข้มขลังทรงพลังเพราะหนังจะพาคนดูไปสู่ความอึดอัดกดดันตามอารมณ์ของตัวละครเพื่อพาไปยังฉากต่อยตีแบบตะลุมบอนตามประสานักเลงข้างถนนที่ดูสนุกตามแนว ซึ่งมันกลายเป็นสไตล์ไปแล้วที่จับเอาคนดูไปเป็นนักเลงร่วมแก๊งกับตัวละครเพื่อที่จะร่วมเส้นทางนักเลงด้วยกันแม้ว่าสุดท้ายผลของมันจะออกมายังไงนั่นก็เป็นเรื่องของผลของการกระทำแต่เมื่อรู้ตัวเวลาฉายของหนังก็ผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็ว การแสดงที่ร้ายกาจสามารถเป็นคนธรรมดาที่ชั่วกันทั้งนั้นแต่จะชั่วมากชั่วน้อยกว่ากันที่จะเป็นตัวกำหนดทางหัวใจ ส่วนที่เชิดหน้าชูตาได้อีกอย่างของทางไต้หวันก็อาจเป็นเรื่องการแสดงเพราะบ่อยครั้งที่ไต้หวันเล่าเรื่องคนธรรมดาสามัญที่พบเห็นตามตลาดหรือป้ายรถเมล์ การแสดงจึงต้องเป็นคนธรรมดาได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าและแม้ไต้หวันจะเป็นอุตสาหกรรมบันเทิงบนเกาะเล็กๆนักแสดงค่อนข้างเห็นหน้าบ่อยแต่ความคุ้นหน้าไม่เคยทำให้คุ้นใจ เพราะเท่าที่ดูงานไต้หวันมาซึ่งก็มากเพราะชอบเป็นการส่วนตัวไม่ค่อยเห็นนักแสดงคนไหนที่กลายเป็นภาพจำหรืออาจมีบ้างแต่เมื่อมารับบทที่แตกต่างก็ทำได้ดีจนลืมภาพนั้นๆ ผู้เขียนกำลังจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ที่ถ้าตัดการที่ชื่อกับทิศทางและประเด็นของเรื่องที่ไม่ตรงกันออกไปนี่คือการแสดงที่ต้องยกนิ้วให้ทั้งทีม เพราะนี่คือหนังที่มีตัวละครมากมายจนไม่สามารถสาธยายได้หมดว่าใครเล่นเป็นอย่างไรเอาแค่บทเจ้าพ่อรุ่นใหญ่ก็ไม่ไหวแล้ว เอาเป็นว่าในเรื่องนี้ต่อให้เป็นคนที่มีเวลาบนจอน้อยก็สร้าง Impact ให้กับหนังได้ก็แล้วกัน นี่คือของดีที่ถวิลหาที่อาจไม่ใช่เรื่องสวยงามแต่อย่างน้อยไม่ได้สร้างให้พวกนักเลงหรือคนชั่วให้ดูเท่เหมือนเมื่อก่อน ถ้าคุ้นเคย ชื่นชอบ หรือถวิลหาหนังฟีลประมาณผู้หญิงข้าใครอย่าแตะหรือที่ดังและใกล้มาหน่อยก็หนังชุดกู๋หว่าไจ๋นี่คือของดีที่ท่านถวิลหา อันนี้เอาความเห็นส่วนตัวเป็นที่ตั้งเพราะโทนเรื่องความมืดหม่นเค้าโครงมันคือหนังฮ่องกงแนวนี้ประมาณนี้ในยุคนั้น แต่เป็นเวอร์ชั่นที่บทแน่นขึ้นการตัดต่อที่เนียนขึ้นมุมกล้องที่ตื่นตามากขึ้นแต่อารมณ์และพลังของหนังยังคงพาไปยังจุดที่เคยเป็น แต่สิ่งที่เห็นว่าดูดีขึ้นอีกอย่างคือความชัดเจนในการสื่อสารว่าทุกการกระทำจะมีผลตามมาเสมอไม่ว่าดีหรือชั่วและมนุษย์ไม่มีใสสะอาดร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะแม้จะดูไม่มีขื่อมีแปเพราะไม่เห็นตำรวจแม้แต่คนเดียวมีแต่นักเลงหัวไม้กันทั้งนั้นแต่หนังก็เก่งทีไม่ทำให้พวกนักเลงอันธพาลกลายเป็นไอดอลให้คนอยากเป็นเหมือนอย่างที่สมัยหนึ่งวัยรุ่นอยากเป็นอย่างอาหว๋อหรือเฉินฮ่าวหนาน เพราะเรื่องวงพวกนักเลงไม่ใช่เรื่องสวยงามจึงพึงดูไว้เป็นอุทาหรณ์หนังอาจต้องการแบบนั้น ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 จาก Instagram gatao_movie ภาพที่ 2,3,4,5,6,7,8 จาก Instagram netflixtw เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !