Movie Review Carry-On (2024) สัมภาระอันตราย เล่นกับอารมณ์ด้วยชั้นเชิงง่ายๆแต่ได้ผลเมื่อจัดความบันเทิงมาเต็มพิกัดสมดังตั้งใจให้ได้ลุ้นระทึกไปตลอดทาง รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! ช่วงหลังๆมานี้ผู้เขียนไม่ค่อยมีเวลามาเสาะหาหรือตั้งตารอหนังหรือซีรีส์บางเรื่องเพราะงานที่ทำอยู่ค่อนข้างล้นมือจนบางครั้งหนังบางเรื่องที่น่าดูกว่าจะมาเห็นก็ผ่านไปหลายวัน เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่เป็นงาน Original ของ NETFLIX ที่กว่าจะได้ดูก็ไม่ใช่วันแรกเหมือนเคยสำหรับหนังที่เหมือนจะมีจุดขายที่ดารานักแสดงหรือผู้กำกับมีชื่อที่จะมายั่วน้ำลายคนดูอย่างน้อยเดือนละหนึ่งเรื่องอย่างที่ผู้เขียนเคยตั้งข้อสังเกต แต่ด้วยเวลาที่ไม่ค่อยมีที่จะมาเฝ้ารอดูเลยทำให้ไม่รู้ว่าเดือนที่แล้วเป็นหนังของใครนักแสดงหรือผู้กำกับคนไหนมาลงจอเอาเท่าที่นึกออกก็ปาเข้าไปนู่น The Union ตอนเดือนสิงหาที่จุดขายอยู่ที่ Mark Wahlberg ประชัน Halle Berry แล้วหลังจากนั้นมายอมรับว่าไม่ได้ติดตามจริงๆจนมาถึงเดือนสุดท้ายของปีเดือนนี้ที่ความจริงน่าจะเป็นหนังตามเทศกาลคริสต์มาสหรือปีใหม่ ซึ่งก็ยังเป็นอยู่เพียงแต่จุดขายไม่ได้อยู่ที่ความสุขตามเทศกาลแต่มาเป็นงานแอ็กชันทริลเลอร์ที่มาเพื่อความบันเทิงแบบระทึกใจมากกว่าโดยจุดขายอยู่ที่พระเอก Taron Egerton วันคริสต์มาสอีฟที่ทุกคนกำลังจะเฉลิมฉลองวันหยุดตามเทศกาลแต่ยังมีคนที่ต้องทำงานในวันหยุดอยู่อีกมากมายหนึ่งในนั้นคือ Ethan Kopek (Taron Egerton) เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสนามบินลอสแองเจลิส ก่อนหน้านั้น Ethan ได้รับข่าวดีทีว่าแฟนสาวของเขา Nora Parisi (Sofia Carson) กำลังตั้งท้องลูกของเขาและสิ่งนั้นเองที่ทำให้ Ethan ที่ไม่ได้เลื่อนขั้นมาแล้วสามปีต้องคิดถึงอนาคตของตัวเองเพราะเมื่อมีลูกอะไรๆก็จะต้องตามมาอีกมากมายนั่นคือค่าใช้จ่าย เขาจึงเดินเข้าไปหาหัวหน้างานเพื่อขอโอกาสและเขาก็ได้โอกาสนั้นเมื่อได้ไปนั่งที่เครื่องแสกนกระเป๋าแต่นั่นกลายเป็นความโชคดีที่โชคร้าย เมื่อเขากลายเป็นเป้าของผู้ก่อการร้ายที่มาในคราบผู้โดยสาร (Jason Bateman) ที่เอาสถานการณ์ของ Ethan มาบังคับให้เขาปล่อยกระเป๋าที่บรรจุแก๊สพิษให้ผ่านขึ้นเครื่องไปได้โดยขู่ว่าจะสังหาร Nora แน่นอนเป้าหมายแรกไม่ใช่ Ethan ตั้งแต่แรกความซวยจึงมาเยือนเขาเมื่อเขาต้องยับยั้งแผนการก่อการร้ายพร้อมทั้งปกป้องชีวิตของ Nora ไปพร้อมๆกัน เดินหน้าไปตรงๆง่ายๆไม่แคร์ชั้นเชิงด้านการเล่าเรื่องไม่ต้องตั้งท่ามาหักมุมจึงเดินหน้าไปอย่างลื่นไหล หนังแบบนี้ความจริงระยะหลังมักจะเห็นเป็นความพยายามซับซ้อนมีชั้นเชิงทางการเล่าเรื่องที่จะซ่อนเร้นบางอย่างไว้เพื่อให้ประหลาดใจตอนหลัง นั่นเพราะคนดูรุ่นใหม่อาจคุ้นเคยกับหนังแนวนี้ที่ค่อนข้องชวนคิดแบบนั้นหรือไม่ก็ไม่ทราบแต่หนังเรื่องนี้สารภาพเลยว่าผู้เขียนเหมือนย้อนเวลาไปยังยุค 90 กับเรื่องของคนดีคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาที่มีศักยภาพบางอย่างแต่ดันอยู่ผิดที่ผิดเวลาที่เอาตรงนี้คือผู้เขียนนึกถึงหนัง Sudden Death (1995) ของ Jean-Claude Van Damme กับการเล่าเรื่องตรงๆง่ายๆไม่ต้องแคร์ชั้นเชิงหรือความซับซ้อนซ่อนเงื่อนใดสถานการณ์คล้ายๆกันตัวเอกก็มิติคล้ายๆกัน นั่นคือบทหนังเหมือนย้อนกลับไปหาความง่ายในการเล่าเรื่องเพื่อจุดหมายที่ชัดเจนบางอย่างคือมีทิศทางชัดจึงไม่ต้องไปรอว่าหนังจะมาเพื่อหักมุมเพราะเปิดหน้าท้าดวลกันไป แน่นอนอะไรๆมันก็ดูง่ายๆเพราะหนังตั้งใจมาซื่อๆตรงๆแต่ก็ลื่นไหลเดินหน้าไปอย่างมั่นคงไม่มียั้ง ใช้ชั้นเชิงง่ายๆที่พบเห็นทั่วไปที่เหมือนเป็นความบันเทิงสำเร็จรูปแต่ของแบบนี้ก็มีดีที่ถ้าทำถึงก็ได้ผลทุกเมื่อ การเล่นกับเวลาการบีบอารมณ์ด้วยการผลักอารมณ์เข้าสู่จุดอับความมืดมนไม่มีทางออกคิดไม่ออกว่าจะไปต่อยังไงหรือจะรับมือยังไง เอาแค่สิ่งเหล่านี้ก็บอกเลยว่าเห็นมานักต่อนักเหมือนเป็นอุปกรณ์เสริมสำเร็จรูปที่ใครๆก็ใช้ แต่ความง่ายๆที่เห็นกันบ่อยๆนี่แหละที่สำคัญเพราะเมื่อไหร่ที่ทำถึงชั้นเชิงง่ายๆเหล่านี้มันมีดีในตัวอยู่แล้วซึ่งเรื่องนี้จัดว่าทำถึงอย่างน่าพอใจ แรกเลยคือจับใจคนดูให้ได้ก่อนเพื่อที่จะมีส่วนร่วมกับความรู้สึกของตัวละครในที่นี้คือ Ethan ที่ยอมรับเลยว่าคิดอะไรหลายอย่างตามที่บทหนังต้องการให้ Ethan คิด แล้วเมื่อคนอย่าง Ethan ต้องมารับมือกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมองหาทางออกไม่เจอก็เหมือนกับผลักเขาเข้าสู่จุดอับทำให้คนดูเอาใจช่วยไปแล้วครึ่งค่อน ที่เหลือคือไม่ว่าจะใส่อะไรเข้ามาเช่นการเล่นกับเวลาไม่กี่วินาทีหรือการวิ่งหน้าตั้งหรือแม้กระทั่งเป็นฮีโร่ผู้กอบกู้ตามสูตรในตอนสุดท้ายก็ล้วนแล้วแต่ได้ผล การแสดงที่ทำให้ชั้นเชิงที่เหมือนง่ายๆในการจัดการอารมณ์ทำงานได้อย่างอยู่หมัด เพราะบทตั้งใจให้คนดูเอาใจช่วย Ethan จึงต้องจับใจคนดูให้ได้แล้วผลักให้คนดูสงสารด้วยการที่ Ethan ต้องรับมือกับคนที่รับมือยาก ซึ่งต้องยอมรับว่าแม้จะเป็นบทที่เหมือนไม่มีอะไรคือเป็นพระเอกตามแนวที่ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย แต่สิ่งที่ทำได้คือการที่ Taron Egerton สามารถทำให้คนดูเอาใจช่วยเขาเพราะตั้งแต่ต้นคนดูจะรู้สึกบางอย่างกับตัวเขาและนั่นมาจากการแสดงของ Taron Egerton แน่นอนคู่ต่อกรของเขาต้องศีลเสมอกันที่จะต้องดูฉลาดแต่เรื่องนี้เลือกใช้การรุมกินโต๊ะซึ่ง Jason Bateman ก็ทำได้ดีในบทคนร้ายที่ไม่ใช่ผู้ร้ายในหนังการ์ตูนแต่เป็นคนร้ายธรรมดาที่พร้อมจะปะปนไปกับผู้โดยสารหายไปในสนามบินที่วุ่นวายแบบนี้ ง่ายๆเลยคือถ้าจะสังเกตการแสดงคือลองนึกถึงฉากที่สองนักแสดงนำเผชิญหน้ากันมันกลายเป็นซีนระทึกใจได้ นั่นเพราะสองนักแสดงสามารถฟาดฟันเชือดเฉือนกันเพื่อยกระดับบทตัวละครที่ธรรมดาให้กลายเป็นมีอะไรขึ้นมาได้ ชัดเจนในความตั้งใจมาบันเทิงเต็มที่ที่ไม่ต้องมีความซับซ้อนเอาแค่ตื่นเต้นลุ้นระทึกให้สมดังตั้งใจเป็นพอ ความที่หนังเป็นความง่ายเดินหน้าไปตรงๆไม่อ้อมค้อมซ่อนเงื่อนนั่นเพราะเจตนามาเพื่อเป็นความบันเทิงตั้งแต่แรกเพราะหนังแบบนี้คงไม่คิดจะมาคว้ารางวี่รางวัลอยู่แล้ว นั่นคือออกตัวมาหรือเห็นตั้งแต่พล็อตเรื่องก็รู้ว่าหนังมาเพื่อให้คนดูดูสนุกเป็นความบันเทิงที่สำเร็จรูปเหมือนบะหมี่ที่เทน้ำร้อนปิดฝาสามนาทีกินได้เลย ดังนั้นถ้าจะเปลืองกบาลคิดมากก็กระไรอยู่เพราะหนังออกจะเปิดหน้าท้าดวลล่อนจ้อนซะปานนั้นแต่ก็มีดีที่ความชัดเจนซื่อตรงนี่เอง เพราะหนังออกมาลุ้นระทึกตื่นเต้นเร้าใจได้อย่างที่เจตนาที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกคือต้องการให้คนดูดูแล้วลุ้นระทึกตื่นเต้นเร้าใจแบบนี้แหละ แล้วเมื่อผลของมันออกมาอย่างที่ต้องการตั้งแต่แรกคือคนดูดูสนุกเพราะตั้งใจมาเพื่อให้สนุกก็คงไม่มีที่ให้ไปติติงอะไรคือดูสนุกเป็นความบันเทิงในชายคาบ้านได้ก็เป็นพอแล้ว กระนั้นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามแต่หนังสามารถทำให้ผู้เขียนนึกถึงหนังเก่าๆยุค 90 ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก จาก Instagram netflixfilm ภาพที่ 1 จาก Instagram netflixuk ภาพที่ 2,3,4 จาก Instagram netflixjp เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !