เพิ่งดูจบไปสดๆร้อนๆกับซีรีส์ Beef ผ่าน Netflix เลยกะว่าจะมารีวิวเก็บไว้สักหน่อย เพราะเป็นซีรีส์ที่ถูกจริตมาก ตอนดูตัวอย่างได้แต่คิดว่าคงเป็นคอมเมดี้ทั่วไป แต่ผิดคาดค่ะ ตัวเนื้อเรื่องมีอะไรแฝงมากกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ตัวละครแต่ละตัวก็ไม่สามารถตัดสินได้แค่ผิวเผิน แถมความวุ่นวายที่มาตั้งแต่เริ่มจนไม่รู้จะไปจบที่ไหน ว่าแล้วก็เริ่มการรีวิวกันเลยดีกว่าค่ะhttps://www.instagram.com/p/CqTglbJvs4d/?utm_source=ig_web_copy_link ทำไมถึงชื่อว่า Beefดูจากชื่อเรื่อง Beef อาจจะทำให้หลายคนสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับเนื้อ ตัวเอกของเราเป็นคนขายเนื้อหรือเปล่า หรือเป็นคนชอบกินเนื้อ?? ก็เปล่าอีกเช่นกัน แต่ชื่อเรื่องมาจากแสลงที่มีความหมายว่า ความบาดหมาง ค่ะ เรื่องนี้เป็นความบาดหมางระหว่าง สาวนักธุรกิจดาวรุ่ง เอมี่ (รับบทโดย อาลี หว่อง) ที่ชีวิตแสนจะแฮปปี้เพราะมีสามีหนุ่มหล่อทายาทศิลปินชื่อดัง จอร์จ (รับบทโดย โจเซฟ ลี) ลูกสาว 1 คน และกำลังจะขายธุรกิจให้ร้านค้าขนาดยักษ์ แต่แล้วก็ดันไปมีเรื่องในลานจอดรถกับ แดนนี่ (รับบทโดย สตีเว่น ยอน) หนุ่มเกาหลี-อเมริกันที่ชีวิตตกอับ และกำลังคิดจะฆ่าตัวตาย จากแบบแตรใส่กันในลานจอดรถ กลายเป็นการขับรถไล่ล่าบนท้องถนน จนเป็นที่เลื่องลือในสื่อโซเชียล และไม่วายมีผลกระทบไปถึงครอบครัวของทั้งคู่ เรื่องราวความบาดหมางของทั้งคู่จะจบลงอย่างไรต้องตามกันไปดูในซีรีส์ค่ะ ยิ่งกว่าเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่อีกค่ะ เอาหัวเป็นประกันhttps://www.instagram.com/p/Cn00BVtO0x0/?utm_source=ig_web_copy_linkแล้วเรื่องนี้ทำไมถึงน่าดู อันดับแรกเลยคือนักแสดงนำมากฝีมือ อย่าง สตีเว่น ยอน ที่หลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาจากบท เกล็น ใน The Walking Dead หรือ เบน จากหนังเรื่อง Burning อีกทั้งยังเคยผ่านการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม มาแล้ว แต่ไม่พอ ยังได้เดี่ยวไมโครโฟนอย่าง อาลี หว่อง ผู้ที่ฝากผลงานไว้มากมายทั้ง Baby Cobra (2016), Hard Knock Wife (2018), and Don Wong (2022) และผ่านการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่ มาเป็นนักแสดงนำหญิงร่วมด้วย ทำให้เราไม่ต้องคาดหวังเรื่องการแสดงจากนักแสดงนำของเรื่องเลยค่ะ เข้าถึงบทบาทแน่นอน ฉากเศร้านี่มีน้ำตาซึม แต่เรื่องนี้จะออกแนวขายขำมากกว่าเลยไม่ต้องห่วงจะเสียน้ำตาค่ะhttps://www.instagram.com/p/Conw1Wgvvzo/?utm_source=ig_web_copy_linkในมุมของคนดู เราคิดว่าเรื่องนี้ต้องการที่จะสื่อถึงชีวิตของ Asian-American ในรูปแบบที่แตกต่างกัน เอมี่และแดนนี่ คนสองคนที่ยังไงก็ไม่มีทางได้มาข้องแวะกันแน่นอน เพราะเรียกได้ว่าอยู่กันคนละชนชั้น แต่วาสนาก็ได้นำพาให้ทั้งคู่ได้มามีเรื่องจนวุ่นวายกันไปหมด ในขณะที่เรามองว่าก็เป็นแค่เรื่องของสองคนที่หัวร้อน ระงับอารมณ์ไม่ได้ แต่จริงๆแล้วทั้งคู่เหมือนถูกกดทับด้วยมาตรฐานบางอย่างของสังคม โดยเฉพาะสังคมของชาวเอเชีย ซึ่งมาตรฐานนั้นก่อให้เกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างลึกๆที่ทั้งคู่เก็บไว้จนสุดท้ายมันก็ระเบิดออกมาอย่างตัว เอมี่ เองที่คนรอบตัวเธอมองว่าชีวิตเธอเต็มไปด้วยความสุข เพราะมีทั้งการที่เพียบพร้อม สามีสุดหล่อ และลูกสาวแสนน่ารัก แต่ความจริงแล้ว เอมี่ กำลังแบกรับภาระที่หนักอึ้ง จากความคาดหวังของคนรอบตัว และคนที่มองว่าเธอประสบความสำเร็จได้เพราะครอบครัวสามีมีชื่อเสียง อีกทั้งโตมากับการที่คุ้นชินจากการที่พ่อแม่ไม่เคยพูดถึงความรู้สึก แต่กลับเก็บมันเอาไว้แทน ยิ่งทำให้เธอพร้อมจะระเบิดตลอดเวลาในขณะเดียวกัน แดนนี่ ผู้ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของบ้าน ก็ต้องรับภาระในการดูแลน้องชาย และมีภารกิจที่จะต้องพาพ่อแม่กลับมาอยู่อเมริกาให้ได้ เนื่องจากธุรกิจโรงแรมของที่บ้านต้องถูกยึดขายไป เนื่องญาตสนิททำธุรกิจผิดกฎหมายในโรงแรม แดนนี่เองมองว่าตัวเองเป็นเสาหลักของบ้าน เป็นความคาดหวังของคนในครอบครัว ต้องทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าคนในครอบครัว แต่แท้จริงแล้วแดนนี่กลับไม่เคยมีความสุขเลย ทุกข์มากจนคิดฆ่าตัวตาย แต่ใจก็ยังไม่กล้าพอhttps://www.instagram.com/p/CqsPGL_OMy8/?utm_source=ig_web_copy_linkจนการทะเลาะกันของ เอมี่ และ แดนนี่ ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างที่เก็บไว้นานมาก มันเลยกลายเป็นการเป็นแก้แค้นที่ไม่จบไม่สิ้น และนำพาความวิบัติไปถึงครอบครัวของทั้งคู่ ทั้ง พอล น้องชายแดนนี่ที่ดันไปโดน เอมี่ หลอกให้ตกหลุมรักเข้า หรือจะลูกสาวของเอมี่ ที่ดันโดนลักพาตัว ประหนึ่งความโชคร้ายที่ทั้งคู่ก่อ จะไม่มีจุดสิ้นสุด A24 เป็นสตูดิโอผู้สร้างรับประกันด้วยรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จาก Moonlight(2017) และอีกหลายรางวัลจาก Everything Everywhere All at Once(2022) สตูดิโอ A24 ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ เรื่องภาพนี่ไม่ต้องพูดถึง สวยงามตามท้องเรื่องอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สตูนี้ทำได้ดีคือการถ่ายทอดอารมณ์ที่เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นมากนักในทีวี อารมณ์ที่ว่านี้ก็คือคนธรรมดาที่โกรธแค้นสุดขีดจนเรื่องลามปามนี่แหละค่ะ เราคิดว่าสตูถ่ายทอดออกมาได้ดีในแง่ที่เรื่องมันโอเวอร์มากจนแทบจะเป็นตัวร้าย แต่เรื่องราวกลับร้อยเรียงให้ดูมีเหตุผลได้จนเหมือนเรากำลังส่องกระจกดูตัวตนเบื้องลึกของเราอยู่https://www.instagram.com/p/CqTR5Akpwj2/?utm_source=ig_web_copy_linkอีกเรื่องที่เราชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้คืองานศิลปะที่สอดแทรกไว้ในชื่อตอนของแต่ละตอน มีความ abstract แต่ดูแล้วเอาไปคิดต่อได้ว่าศิลปินต้องการจะสื่อถึงอะไร ที่สำคัญเลยคือภาพเหล่านี้ถูกวาดโดย เดวิด โช ทั้งหมด ซึ่งเดวิดเอง ยังรับบทนำในเรื่องด้วยนะคะ เล่นเป็นญาติสุดแสนจะวุ่นวายของแดนนี่ชื่อว่า ไอแซค เป็นอีกตัวละครที่ถ้าเรื่องนี้ขาดไป เรื่องอาจจะจบไม่ได้เลยทีเดียวซีรีส์เรื่องนี้มี 10 ตอน ตอนละประมาณ 30-50 นาทีค่ะ ดูรวดเดียวจบได้ภายใน 1 วัน (และเราคิดว่าใครที่เริ่มดูแล้วจะหยุดไม่ลง เพราะอยากรู้ว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อ) ถือเป็นอีกเรื่องที่ดูชิวๆได้ในวันสบายๆค่ะ แต่ก็มีข้อความหลายๆอย่างในซีรีส์ที่ทำให้เราเอาไปคิดต่อได้ ที่สำคัญคือเข้าไปดูงานศิลปะในเรื่องก็คุ้มแล้วค่ะ แนะนำให้ดูเลยค่ะเรื่องนี้ เครดิตภาพ : IG : steveyeun : ภาพปก, Pic 1, Pic 2, Pic 3IG : joeyunlee : Pic 4IG : davidchoe Pic 5, Pic 7IG : a24 : Pic 6คอมมูนิตี้ “โลกคนรักหนัง” ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน