ไม่กี่วันที่ผ่านมา เราได้เปิดไปเจอกับหนังเรื่องหนึ่งใน Netflix ระบุไว้คือปี 2020 ซึ่งโปสเตอร์หนังรวมถึงชื่อของหนังมีความดึงดูดสายตาเรามาก ๆ นั้นคือ “The Last Shift กะสุดท้าย (2020)” ซึ่งเป็นรูปของคนต่างวัยสองคนกำลังยื่นคู่กันและหลังจากก็อยากจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้ดูกันว่าเป็นหนังแนวไหน ความสนุก หรือข้อคิดที่ได้เรื่อง หากพร้อมแล้วก็ไปดูกันค่ะเนื้อเรื่องย่อหนัง The Last Shifthttps://youtu.be/cPis-FiBLS0 เรื่องราวเกิดขึ้นจาก ‘สแตนลี่ย์’ หนุ่มวัยชราที่ทำงานให้กับร้าน Oscar’s ร้านอาหาร Fast Food แห่งหนึ่งที่ยาวนานมากถึง 38 ปีและเขากำลังจะลาออก แต่ก่อนที่จะลาออกและได้เงินเดือน เขามีเงื่อนไขก็คือจะต้องสอนงานให้กับเด็กใหม่ก่อน นั้นคือ ‘เจวอน’ เด็กหนุ่มที่จำเป็นจะต้องทำงานเพราะเขานั้นจะต้องคุมความประพฤติ เนื่องจากเคยติดคุกมา โดยสแตนลี่ย์กับเจวอน ค่อนข้างจะมีนิสัยที่แตกต่างกันมาก สแตนลี่ย์ เขามีความเป๊ะ ทุ่มเทให้กับร้านนี้ เรียกว่าทำทุกหน้าในร้าน ตัดภาพไปที่เจวอน เขาเป็นสายชิล ๆ ทำให้ทั้งสองทะเลาะกันอยู่เสมอ โดยเรื่องราวก็ดำเนินไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับสแตนลี่ย์ทำให้เขานั้น Blame เจวอน ทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย จากเหตุการณ์หนึ่งทำพาจิตใจของสแตนลี่ย์หลงทำอะไรที่มันผิดมาก ๆ แต่เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำจะส่งผลกระทบไปสู่เจวอน รีวิวเรื่องหนัง The Last Shift ส่วนตัวเราขอเรียกหนังเรื่อง The Last Shift เป็นหนังที่เบาสมอง ดูไปได้แบบเรื่อย ๆ แม้ตอนที่เราอ่านเรื่องย่อสั้น ๆของทาง Netflix ได้ Discription ไว้สั้น ๆ ได้ดูน่าสนใจน่าสนใจมาก ซึ่งหลายคนที่ได้ดูอาจจะคิดว่ามันน่าจะมีข้อคิดอะไรแฝงอยู่มากมาย เพราะเป็นเรื่องราวของคนสองคนที่ต่างวัยกัน อาจจะมีการแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน ทำนองนั้น แต่เรื่องนี้ส่วนตัวแล้วคิดว่าแทบไม่มีเลยละค่ะ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดจากเรื่องนี้ก็เป็นในเรื่องของ ‘Safe Zone’ ของสแตนลี่ย์ ที่มีหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เขามักจะคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันก็ดีแล้วหนิ (ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะดีได้มากกว่านี้เยอะมาก) หรือในเหตุการณ์ที่เขาวางแผน ‘คิดว่า’ จะทำแต่สุดท้ายกลับลำแบบง่าย ๆ ทำให้ชีวิตของเขาดูไม่ค่อยจะมีจุดหมายสักเท่าไหร่ กลับกันกับเจวอน เด็กหนุ่มที่เคยติกคุกมา หนำซ้ำแล้วเรื่องราวต่าง ๆ หลังจากที่เขาได้กลับมาบ้านก็กลับแย่ลงเรื่อย ๆแต่น้อยฉากมากที่จะเห็นเขาท้อแท้หรือหมดหวังในตัวเอง ชีวิตของเขากลับกลายไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านหน้าที่การงานหรือทางครอบครัวเอง ซึ่งจากฉากนี้ก็แฝงข้อคิดไว้ว่าวันหนึ่งที่เราเลือกเดินทางผิด ไม่มีอะไรสายที่เราจะแก้ไขหรือทำมันให้ดีขึ้นได้ สำหรับเรื่องนี้เราคงขอนิยามด้วยประโยคสั้น ๆ อย่าง ‘ดีแต่ไม่สุด’ เพราะพล็อตเรื่องดูมีความน่าสนใจมาก ๆ คิดว่าทำได้ดีมากกว่านี้ อย่างฉากที่สแตนลี่ย์แลพเจวอนพูดคุยกัน ในบางฉากการสนทนาเหมือนจะเข้าด้ายเข้าเข็ม แต่หนังเลือกที่จะตัดบทไปแบบเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่คุยมันสามารถนำไปต่อยอดอะไรในเรื่องได้อีกมากมาย หรือให้ข้อคิดกับคนดู คะแนน : 6/10 สำหรับสิ่งที่ชอบในเรื่องนี้ก็คงเป็น ‘ตัวนักแสดง’ นั้นคือนักแสดงชื่อดังที่กวาดรางวัลมาแล้วเยอะแยะมากมายอย่าง Richard Jenkinsและ Shane Paul McGhie ที่ขอเรียกว่าเป็นความแตกต่างที่แสนลงตัว ทั้งคู่รับบทกันไปมาได้ดี อย่างฉากที่มีดราม่าทะเลาะกัน ทั้งสองก็แสดงออกมาทางสายตารับกันไปได้ดูสมจริงมาก ๆ อีกทั้งเรื่อง Mood and tone ภายในเรื่องส่วนตัวเรานั้นชอบมาก ๆ เพราะทำให้เล่นกับ Emotional ของคนดูได้ดีเลยทีเดียวละค่ะ ยกตัวอย่างฉากสุดท้ายที่อารมณ์แบบต่างคนต่างแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเองก็จะมีฝนตกปรอย ๆ ลงมาทำให้ระดับความเศร้าก็เพิ่มสูงขึ้นแบบไม่รู้ตัว ถึงแม้เรื่องหนัง The Last Shift กะสุดท้าย อาจจะผิดไปจากที่คิดไปซะหน่อย แต่ก็นับได้ว่าเป็นหนังที่ดูได้เรื่อย ๆ เบาสมองและไม่มีเหตุผลอะไรมากมายนัก ซึ่งหากเพื่อน ๆ คนไหนที่กำลังหาอะไรที่ชิล ๆ ดูในวันหยุด ส่วนตัวเราก็คิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่แนะนำค่ะสามารถรับชม The Last Shift ได้แล้วที่ Netflix ผ่านกล่อง True ID TV 🎬 เครดิตภาพหน้าปกโดย The Last Shiftภาพหน้าปกเครดิตภาพประกอบบทความโดย The Last Shiftภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3เครดิตวิดิโอประกอบบทความโดย Sony Pictures EntertainmentTHE LAST SHIFT - Official Trailer (HD) อัปเดตข่าว ดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี!