รีเซต

ศักดิ์ศรีที่อยู่เหนือรองเท้า และสัญญะสำคัญที่อยู่ใน "The Glory"

ศักดิ์ศรีที่อยู่เหนือรองเท้า และสัญญะสำคัญที่อยู่ใน "The Glory"
แบไต๋
24 มีนาคม 2566 ( 13:30 )
778

จุดเด่นที่เป็นเสน่ห์ของซีรีส์เกาหลีแนวดราม่า โดยเฉพาะดราม่าที่ให้ความสำคัญกับจุดเจ็บในใจของตัวละคร มักจะใส่สัญญะบางอย่างเอาไว้ให้เราตีความอยู่เสมอ ‘The Glory’ ก็เป็นหนึ่งในนั้นและดูท่าว่า สัญญะที่จงใจใส่เอาไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ อาจเป็นเสียงส่วนลึกภายในใจที่เราได้ยินอยู่ทุกวันก็เป็นได้ ‘The Glory’ จึงไม่เป็นเพียงแต่ซีรีส์แก้แค้นธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นซีรีส์ที่พูดแทนใจใครหลายคน และเรื่องราวที่จะพูดถึงในบทความนี้ คือสัญญะสำคัญที่ว่านั่น

**คำเตือน: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์ แบบหมดเปลือก ผู้อ่านที่ยังไม่เคยได้รับชมซีรีส์ โปรดพิจารณาในการอ่าน

พัคยอนจิน ผู้ไม่เคยถอดรองเท้า

“เธอนี่ยังเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ ยังไร้มารยาทเหมือนเดิม ตอนเข้าบ้านคนอื่นหัดถอดรองเท้าหน่อยสิ” ประโยคนี้เป็นคำพูดของมุนดงอึน (ซงฮเย-คโย) ที่พูดกับพัคยอนจิน (อิมจียอน) ใน Ep1 ก่อนที่จะใช้แม็กยิงบอร์ดตบเข้าที่ใบหน้าของพัคยอนจินจนเลือดอาบ แน่นอนว่าฉากนั้นไม่ใช่ฉากที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นภาพแทนความหมายของเรื่องราวทั้งหมด ที่จะเกิดขึ้นนับจากนั้น เขาบอกเราแล้วตั้งแต่ต้นเลยค่ะ ว่าเนื้อหาของซีรีส์เรื่องนี้เน้นหนักไปที่อะไร หัดถอดรองเท้าหน่อยสิจึงมีความหมายเท่ากับ ‘หัดให้เกียรติคนอื่นซะบ้างสิยอนจิน’

ถ้าหากเราตีความกันตั้งแต่ชื่อเรื่อง ตัวอักษรคำว่า The glory ที่ถูกดีไซน์ให้แตกกระจายก็เป็นตัวแทนของเกียรติยศที่ถูกทำลายแล้วละค่ะ แม้แต่วัยเยาว์ที่แตกสลายเหมือนอมยิ้มบนภาพไตเติ้ลนั่นก็ด้วย ฉะนั้นการแก้แค้นของมุนดงอึนจึงทำไปเพื่อ ทวงคืนศักดิ์ศรีที่ถูกทำลายให้กับตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เธอจะเรียกคืนมาได้ และป่าวประกาศว่าเธอต้องการมันมากแค่ไหน คนทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ก็ต้องการ ช่วยให้เกียรติกันและกันบ้างเถอะ ฉันขอร้อง

เรื่องราวของศักดิ์ศรีเหนือรองเท้าเริ่มขึ้นนับจากฉากนี้ และรองเท้าแต่ละคู่ก็ถูกจับมาห้อยร้อยกันเป็นเส้นเรื่อง ที่บอกให้เราเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า นางเอกมีปมอย่างมุนดงอึน ตัดสินใจทุกอย่างบนความต้องการพื้นฐานของมนุษย์คนหนึ่งอย่างยุติธรรม และเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึง Ep9 ซึ่งเป็นตอนแรกของพาร์ตที่ 2 การตอกย้ำว่าพัคยอนจินสมควรโดนเอาคืนแค่ไหนก็แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น เพราะเธอยังคงเป็นคนที่ไม่ให้เกียรติใครเลยอยู่นั่นเอง

เธอยังคงใส่รองเท้าเข้าบ้านคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอุตส่าห์รู้ตัวอยู่นิดหน่อยว่าเธอกำลังทำในสิ่งที่ไม่สมควร เมื่อเห็นสายตาของฮาโดยองสามีของเธอ เหลือบมองลงมายังเท้าของเธอด้วยสายตาตำหนิ เธอเอ่ยปากแก้ตัวกับเขาว่า “ฉันอยากให้เพื่อนฉันรู้ว่าฉันมาที่นี่” แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอพ้นข้อหาไปได้ เพราะเธอยังทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นห้อง และเหยียบขยี้มันต่อหน้าฮาโดยองซะอย่างนั้น เหตุการณ์สั้น ๆ ในฉากนี้ก็เท่ากับว่า พัคยอนจินเป็นผู้หญิงที่ไม่ให้เกียรติใครเลย ไม่มีความเคารพต่อใครทั้งนั้นและพร้อมที่จะเชิดหน้าทำเลวต่อไปโดยไม่สะทกสะท้าน

การตัดสินอย่างเด็ดขาดของมุนดงอึนก็เริ่มขึ้นที่ฉากนี้เลยค่ะ เพราะในเมื่อพัคยอนจินไม่เคยเปลี่ยนไปจากเดิม ก็ทำให้มุนดงอึนเดินหน้าเต็มกำลังได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องรู้สึกผิด ‘ฉันให้โอกาสเธอแล้วนะยอนจิน แต่เธอไม่คว้าเอาไว้เอง’ สายตาของมุนดงอึนขณะดูภาพจากกล้องวงจรปิด พูดออกมาแบบนั้น ไม่ทราบว่าท่านอื่น ๆ อ่านสายตาออกมาเป็นประโยคนั้นเหมือนผู้เขียนไหมนะคะ แต่ประโยคที่ว่านี้ดังขึ้นมาในหัวของผู้เขียนเลยทีเดียว

เหตุการณ์ทุกอย่างภายในห้องของมุนดงอึนถูกถ่ายทอดผ่านกล้องวงจรปิด เธอเห็นทุกอย่างและได้ยินทุกประโยคสนทนา เห็นแม้กระทั่งการให้เกียรติจากผู้ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของนางปีศาจร้าย ฮาโดยองถอดรองเท้าก่อนเข้าห้องของเธอ และเธอก็ตั้งใจดูภาพนั้นอย่างสนใจ เหตุการณ์นี้บอกกับเราได้ว่า เมื่อเธอได้รับเกียรติจากเขา เธอก็พร้อมจะให้เกียรติเขาเช่นกัน ใครให้สิ่งใดก็ย่อมจะได้รับสิ่งนั้นกลับไป จริงไหม

และมันเกิดขึ้นพร้อมกับการสลับภาพของรองเท้าผ้าใบ ที่ถอดวางไว้หน้าห้องพักเก่า ๆ ของเธอในวัยเด็ก วันที่พัคยอนจินและพวกเข้ามารุมทำร้ายเธอถึงในห้อง โดยไม่มีใครถอดรองเท้า

4 สาวกับส้นสูงสีเขียว

ในเรื่องนี้เราจะเห็นส้นสูงสีเขียวประดับเพ็ชรมาตั้งแต่ภาพโปสเตอร์โปรโมตและภาพไตเติ้ลกันเลยทีเดียว และในเนื้อเรื่องไอ้เจ้าส้นสูงสีเขียวก็ยังปรากฏให้เห็นเป็นเอ็กซ์ตร้าค่าตัวแพงกับเขาอีกด้วย ใน Ep2 ฮาโดยองซื้อส้นสูงสีเขียวประดับเพ็ชรให้เป็นของขวัญวันเกิดกับพัคยอนจิน และบอกเหตุผลว่ารองเท้าคู่นี้เหมาะกับเธอ เมื่อพัคยอนจินถามว่าทำไมเลือกสีแรงแบบนี้ให้เธอล่ะ นั่นเพราะเขาเห็นว่าความหรูหราจัดจ้านมันเหมาะสมกับเธอ เขามองเธอเป็นเครื่องประดับราคาแพงสำหรับเขา และเธอก็วางตัวให้เป็นของสูงที่ผู้หญิงหลายคนไม่อาจเทียบได้

ใน Ep เดียวกันตัดภาพมาที่มุนดงอึนในร้านรองเท้า เธอกำลังลองสวมส้นสูงสีเขียวแบบเดียวกันกับพัคยอนจิน จากคราวแรกที่เธอจะไม่สนใจมันแต่เมื่อซน-มยองโอ (คิมกอนอู) เข้ามาหาและบอกว่า “ลองสวมดูสิมันเหมาะกับเธอนะ” เราแอบเห็นสายตาที่เปลี่ยนไปเพียงเสี้ยววินาทีของมุนดงอึนเฉยเลย จากแววตาที่เฉยเมย สามารถเปลี่ยนเป็น ‘เหรอ? อืม…ฉันก็ว่าอย่างนั้น’ ได้แบบทันทีทันใด เราผู้เป็นคนดูไม่เห็นภาพเลยสักนิดว่าเธอรู้หรือไม่ว่าพัคยอนจินก็มีรองเท้าแบบนี้ แต่ซีรีส์ก็สื่อออกมาให้เราเห็นได้ชัดว่าเธอรู้ และเธอพร้อมจะสู้กับของสูง ด้วยการทำตัวให้สูงกว่าทุกวิถีทางนับจากนี้ แถมเธอยังใส่ไปโรงเรียนให้หนูน้อยฮาเยซน (โอจียูล) เห็นอีกต่างหาก ว่าครูก็มีรองเท้าแบบแม่ของหนู

ต่อมาใน Ep 6 เป็นฉากในบ้านของจอนแจจุน หลังจากที่ซนมยองโอหายตัวไปและเขาร้องทัก ชเวเฮเย-จอง (ชาจูยอง) เรื่องรองเท้าที่เธอสวมใส่ว่ามันเป็นรองเท้าของพัคยอนจิน เพราะมันคือรองเท้าแบบเดียว สีเดียวกันเด๊ะ ๆ เขียวละลายใจที่ใคร ๆ ก็อยากมี “ฉันซื้อตอนบินไปลอนดอนย่ะ ไม่รู้ว่ายอนจินก็มีด้วยเหมือนกัน” คำตอบของชเวเฮเย-จอง ก็ตีความได้เท่ากับว่า ยอนจินไม่ได้เป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับของแบบนี้คนเดียวหรอกนะ และฉันก็หามันมาได้ด้วยตัวของฉันเอง

แน่นอนว่าเรื่องส้นสูงสีเขียว เป็นหนึ่งในปริศนาที่สร้างความสงสัยให้กับคนดูว่าหนึ่งในผู้ครอบครองรองเท้าคู่นี้ คือผู้ที่ทำให้ซน-มยองโอหายตัวไป ก็คือตายอ่ะจ้ะว่าง่าย ๆ แต่สิ่งที่มากไปกว่าการสร้างความสงสัยก็คือ ความหมายที่ซ่อนอยู่นี่แหละ เพราะส้นสูงสีเขียวได้กลายเป็นตัวแทนของความงามสง่าไปซะแล้ว พัคยอนจินได้รับความงามสง่าเป็นของขวัญจากสามีของเธอ เพราะเขาเห็นว่าเธอคือเครื่องประดับ

ส่วนมุนดงอึนและชเว เฮเย-จอง ก็เลือกความงามสง่ามาเป็นเจ้าของด้วยตัวของเธอเอง แต่เป็นอารมณ์ความคิด ความรู้สึกที่แตกต่างกัน มุนดงอึนรู้ว่าเธอจะเหนือกว่าได้ด้วยวิธีไหน แต่ชเวฮเย-จองต้องการเทียบรัศมี ในขณะที่ อีซาร่า (คิมฮีออรา) ไม่ได้ซื้อส้นสูงสีเขียวมาสวมใส่ แต่เธอกลับวาดมันลงไปบนเฟรมผ้าใบ ให้เราสงสัยเล่นว่าวาดทำไมเนี่ย หืม? แต่เมื่อจับจิ๊กซอว์แต่ละตัวมาค่อย ๆ ปะติดปะต่อแล้ว เราก็สามารถตีความได้ว่า อีซาร่า เป็นผู้หญิงที่ไม่สนสี่สนแปดอะไรทั้งนั้น และเกรียรติยศของเธอมีอยู่เฉพาะบนเฟรมผ้าใบที่เธอสร้างมันมาจากความมัวเมาของเธอเอง

เกมกระดานกับกองทัพทั้ง 6

สำหรับแฟนซีรีส์จีนและเกาหลีแบบย้อนยุค ก็มักจะเห็นตัวละครเล่นหมากล้อมหรือหมากโกะกันอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะซีรีส์เกี่ยวกับสงครามและการวางแผนต่าง ๆ เพราะการเล่นหมากล้อมก็ไม่ต่างอะไรกับการจัดกระบวนทัพมาสู้รบกันนั่นเองค่ะ แต่สำหรับซีรีส์ยุคปัจจุบันเราไม่ค่อยจะได้เห็นการนำหมากล้อมมาเป็นตัวเดินเกมในเรื่องเท่าไหร่นัก แต่กับเรื่องนี้ หมากล้อมได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่องไปโดยปริยาย และหากใครจะสังเกตดี ๆ จะทราบได้เลยว่า ผู้เขียนบทเรื่องนี้ได้จัดทัพให้นางเอกไว้หมดแล้ว

คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ นายกสมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทย (ประธานกรรมการบริหารบริษัทซีพี ออลล์) เคยอธิบายเกี่ยวกับหมากล้อมไว้ว่า ถ้าเปรียบหมากรุกคือสนามรบหนึ่งสนาม หมากล้อมที่มีพื้นที่กว้างใหญ่เท่ากับหมากรุก 6 กระดานก็เปรียบเสมือนสงครามที่มีถึง 6 สนามรบ เท่ากับว่าเรื่องนี้ นางเอกของเราต้องมีแม่ทัพอยู่ในมือ 6 คน และดำเนินแผนการรบด้วยการส่งแม่ทัพแต่ละคนลงสนามที่เธอเลือกแล้ว ว่าจะให้ใครอยู่ในสนามไหนและใช้กลศึกไหนเป็นตัวเดิมเกม

ผู้เขียนก็เลยมานั่งนับดูว่า มุนดงอึนมีแม่ทัพถึง 6 คนหรือเปล่านะ และนับไปนับมาก็ได้ 6 คนจริง ๆ ซะด้วยว้าวมาก!! เริ่มจากแม่ทัพคนที่ 1 คัมฮยองนัม (ยอมฮเยรัน) ป้าแม่บ้านผู้ปราดเปรื่อง แม่ทัพที่ได้มาด้วยความบังเอิญ ถัดมาเป็นแม่ทัพคนที่ 2 คูซองฮี (ซงนายอง) น้องสาวผมหยิกเพื่อนร่วมงานตั้งแต่วัยรุ่น จนปัจจุบันเป็นพนักงานบริษัททัวร์และคอยช่วยเหลือเธอ คอยหานักเลงตัวจริงมาเป็นมือเป็นเท้าให้เธอ (คนที่เธอยกรถยนต์ของเธอให้ใน Ep 16 นั่นแหละจ้ะ)

คนที่ 3 จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพระเอกของเราคือ คุณหมอโจยูจอง (อีโอฮยอน) แม่ทัพที่ตั้งใจมอบตำแหน่งให้มากที่สุด คนที่ 4 คือ ซน-มยองโอ แต่แม่ทัพคนนี้เป็นแม่ทัพกิ๊กก๊อก ที่มุนดงอึนตั้งใจเอามาเป็นม้าใช้ชั่วคราวเท่านั้นเอง จนสุดท้ายก็ตกม้าตายไปซะงั้น ก็เลยจำเป็นต้องใช้แม่ทัพคนที่ 5 ที่ดีกว่า สุขุมกว่าแต่อาจใช้ได้ไม่นาน เพราะแม่ทัพคนนี้สุขุมและรอบคอบเกินกว่าจะเปลืองตัวกับสงครามของใคร คือ ฮาโดยอง และแม่ทัพคนสุดท้าย คือตัวของเธอเอง เป็นแม่ทัพใหญ่ที่กุมบังเหียนเอาไว้ทั้งหมด

นับไปนับมาแล้วผู้เขียนก็ถึงกับทึ่งคนเขียนบท ว่านี่เขาวางหมากไว้แบบนี้แล้วจริง ๆ ตามวิธีการเล่นหมากล้อม หรือมันเป็นความบังเอิญกันแน่ที่นับแล้วได้ 6 คน 6 สนามรบพอดิบพอดี และหากจะสังเกตกันอีกอย่างก็คือ นางเอกมักจะครองหมากดำอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช้ผู้เล่นใหม่แล้วก็ตาม เพราะเธอจะได้เปิดเกมก่อน โดยแถมแต้มต่อ 6.5 แต้มให้ฝ่ายตรงข้ามตามกติกา ใจดีที่สุดแล้วละค่ะแม่คนนี้ เหมือนกับกติกาของการเล่นหมากล้อมที่ หมากดำจะเป็นฝ่ายได้ลงกระดานก่อน โดยจะต้องให้แต้มต่อหมากขาว 6.5 แต้ม เนื่องจากฝ่ายที่ครองหมากขาวเป็นผู้ลงหมากทีหลัง

ให้ไข่เท่ากับให้ชีวิต

เราจะเห็นได้ว่าซีรีส์เรื่องนี้มีการพูดถึงความเชื่ออยู่ 2 ฝั่ง คือความเชื่อเรื่องพระเจ้าในทางคริสเตียน ที่นางเอกตัดพ้อกับพระองค์อยู่บ่อย ๆ ว่าพระเจ้าไม่เคยอยู่ข้างเธอ กับ ความเชื่อเรื่องภูติผีและวิญญาณในลัทธิชาแมน (Shamanism) เรียกว่าเป็นการผสมผสานสองความเชื่อเข้าด้วยกัน โดยไม่มีการตัดสินว่าอะไรจริงหรือไม่จริง ถือเป็นการเคารพซึ่งกันและกันที่คนเขียนบทจงใจใส่เอาไว้ในซีรีส์เรื่องนี้ แต่ในบทความนี้ผู้เขียนจะขอพูดถึงไข่ ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อของคริสเตียน

ในฐานะที่คิมอึนซุก ผู้ซึ่งเป็นคนเขียนบทเรื่องนี้เธอเป็นคริสเตียน ก็เลยขอทึกทักเอาเองว่าคิมอึนซุกได้แฝงการเกิดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับวันอิสเตอร์ (Easter) เอาไว้ในไข่ใบนั้น วันอิสเตอร์คือวันแห่งการเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ไข่ต้มของคุณป้าแม่บ้านในเรื่องนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการเกิดใหม่ ชีวิตที่กำลังเริ่มต้นใหม่ และสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในซีรีส์เราจะเห็นว่า ป้าแม่บ้านคัมฮยองนัม เอาไข่มาฝากมุนดงอึนถึงสองครั้ง

ผู้เขียนจึงขอบังอาจตีความเอาเล่น ๆ ว่า ป้าแม่บ้านคือคนที่พระเจ้าส่งมาสร้างชีวิตใหม่ไปด้วยกัน นี่คือตัวเอ้เลยละ พระเอกนี่มาเพื่อเป็นคู่ชีวิตเฉย ๆ เท่านั้นเอง แต่ครั้งแรกเธอรับไข่มาแบบมึน ๆ แถมไม่กินมันด้วยซ้ำ แล้วก็ออกไปรำดาบสู้รบในสนาม จนมาถึงครั้งที่สองเธอรับไข่มาไว้กับตัวและตอกกินก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนตึกและตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย แต่…ไม่ทันได้ลงไปตายสมใจเพราะมีนารีฝ่าความหนาวมาเตือนสติเอาไว้ ในใจผู้เขียนคิดถึงไข่ใบนั้นขึ้นมาทันทีว่า ดีนะกินไข่เข้าไปแล้ว ไม่งั้นคุณแม่มาช่วยไม่ทันแน่

จนความเชื่อนี้ก็ได้กลับมาตอกย้ำในตอนท้ายของเรื่องอีกว่า พระเจ้าไม่เคยลืมมุนดงอึน แถมพระองค์ยังส่งผู้ใหญ่ดี ๆ และเพื่อนที่น่ารักมาอยู่รอบ ๆ ตัวมุนดงอึนอีกด้วย และทั้งดินฟ้าอากาศในเวลานี้ก็เป็นใจให้กับชีวิตที่สดใสของเธอซะด้วยซ้ำ จนเธอกล้าเปิดเผยแผลเป็นของเธอภายใต้รอยสักดอกผักบุ้งสีฟ้า (Morning Glory) ที่หมายถึง ความรุ่งโรจน์ ในบริบทของซีรีส์เรื่องนี้

ก็ไม่ทราบว่าผู้อ่านท่านใดดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วคิดเหมือนกันบ้างหรือเปล่า หรือมีข้อไหนที่คิดแตกต่างกันไปบ้าง แต่ยิ่งคิดได้หลายแง่หลายมุมมากเท่าไหร่ การดูซีรีส์ของเราก็จะสนุกมากยิ่งขึ้น จริงไหมละคะ