รีเซต

โปรดิวเซอร์เผย คีอานู รีฟส์ อยากปิดฉาก จอห์น วิค สั่งเพิ่มฉากนั้นใน "John Wick 4" เสียเลย

โปรดิวเซอร์เผย คีอานู รีฟส์ อยากปิดฉาก จอห์น วิค สั่งเพิ่มฉากนั้นใน "John Wick  4" เสียเลย
แบไต๋
20 กันยายน 2566 ( 11:00 )
140

คำเตือน: บทความนี้เปิดเผยบทสรุปสำคัญของภาพยนตร์ ‘John Wick: Chapter 4’


สำหรับคนที่ได้มีโอกาสชม ‘John Wick: Chapter 4’ แล้ว แม้สุดท้าย จอห์น วิค จะเป็นฝ่ายชนะ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตายลงจากการถูกยิง แต่อย่างที่ทราบกัน ด้วยความสำเร็จด้านรายได้และคำวิจารณ์ ก็ทำให้ค่าย Lionsgate จึงได้ตัดสินใจให้ไฟเขียว พัฒนา ‘John Wick’ ภาค 5 รวมทั้งหนังและซีรีส์สปินออฟตามมา ท่ามกลางความสงสัยว่า ถ้าจะมีการสร้างจริง ๆ แล้วจอห์น วิค จะกลับมาอีท่าไหน

ซึ่งไอเดียฉากการตายนั้นก็ไม่ได้มาจากใครที่ไหน แต่เป็นนักแสดงเจ้าของบทอย่าง คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) ที่เสนอให้ปิดฉากนักฆ่าบาบายาก้า เพราะที่ผ่านมาเขาเองก็เหนื่อยกับการรับบทนี้ไม่น้อย โดยคนที่เปิดเผยเรื่องนี้ก็คือ เบซิล ไอวานิก (Basil Iwanyk) โปรดิวเซอร์ของหนัง ที่ได้เปิดเผยกับเว็บไซต์ Collider ว่า ไอเดียนี้เกิดจากการที่รีฟส์เป็นคนเสนอฉากการตายของจอห์น วิค ก็เพราะว่าตัวเขาเองรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก จากการทุ่มเทเล่นฉากสตันต์เองแบบดื้อไม่ยอมใช้ตัวแสดงแทน

ไอวานิกเล่าว่า ซึ่งพอเดินทางมาถึง ‘John Wick: Chapter 4’ รีฟส์เองจึงรู้สึกเหนื่อยอย่างที่สุด จึงต้องการหาทางลงแบบปิดตำนานสวย ๆ ด้วยการเสนอแกมขอร้องให้เพิ่มเนื้อเรื่องให้ จอห์น วิค ถูกฆ่าตายจริง ๆ ในท้ายเรื่องไปเลย แต่ด้วยความที่ตัวละครนี้ก็ยังพอจะมีลู่ทางต่อยอด โปรดิวเซอร์จึงเป็นคนเจรจาว่า ขอตายแบบ 90% และเผื่อโอกาสอีกเล็กน้อยเผื่อไว้ปลุกชีพ จอห์น วิค ในภาคอื่น ๆ ได้ในอนาคต

ไอวานิกอธิบายเหตุผลของรีฟต์ว่า “หลังจากภาค 2,3 และ 4 การเล่นหนังเหล่านี้มันเหนื่อยมาก และทำลายคีอานูทั้งทางร่างกายและอารมณ์นะครับ เพราะจนแล้วจนรอด เขาก็มักจะชอบพูโว่า ‘ฉันคงเล่นแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ’ ซึ่งเราเองก็เห็นด้วยกับเขา ซึ่งเอาเข้าจริง นี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวในตัวเขาเองเท่านั้นล่ะครับ เพราะสุดท้ายเขาก็ออกไปทำมันอยู่ดี เขาเลยบ่นว่า ‘ฉันอยากถูกฆ่าตายแบบจริงจังในตอนท้ายของหนังเรื่องนี้’ เราก็เลยบอกเขาว่า ‘งั้นเดี๋ยวเราจะเผื่อไว้สัก 10% ก็แล้วกันนะ'”

ไอวานิกยังได้เล่าถึงความผูกพันในการทำงานของทีมผู้สร้าง ทั้งรีฟต์ แชด สตาเฮลสกี (Chad Stahelski) ผู้กำกับ และตัวเขาเอง ที่ร่วมกันทำงานปลุกปั้นแฟรนไชส์มาตั้งแต่ภาคแรก จึงไม่น่าแปลกในที่ถ้าหากใครสักคนตัดสินใจจะหยุดพัก คนที่เหลือก็ไม่พร้อมที่จะกลับมาด้วย เขาอธิบายเปรียบเทียบทั้ง 3 คนเหมือนกับวงดนตรีในตำนาน The Beatles ที่สมาชิกวงทั้ง 4 คน มักจะทำงานร่วมกัน หากแยกจากกัน พวกเขาก็ไม่สามารถทำงานแบบเดิมออกมาได้อีก

“เราทุกคนกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันครับ พวกเรารักกันมาก และทุกคนต่างก็รู้สึกจั๊กจี้กับความสำเร็จของหนังเหล่านี้ทั้งในแง่คำวิจารณ์และรายได้ จนเราทุกคนคิดกับตัวเองว่า ‘โอเค เราจะสามารถมีวงดนตรีที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ในแบบที่คู่ควรกับเรื่องราวดี ๆ ในพัฒนาการขั้นต่อไปของ จอห์น วิค'”

“ผมชอบเปรียบเทียบคีอานู กับแชด ที่มารวมตัวกันเพื่อค้นหาเรื่องราวต่าง ๆ ว่าพวกเขาเป็นเหมือนกับ พอล แม็กคาร์ตนีย์ (Paul McCartney) และ จอห์น เลนนอน (John Lennon) ส่วนผมเหมือนกับ ริงโก สตาร์ (Ringo Starr) พวกเขาจะโทรหาผมและบอกว่า ‘เอาล่ะ พวกเราจะมากันแล้ว คุณเองก็มาอยู่ที่นี่ด้วย และนี่คือเรื่องราวของพวกเรา'”

ก่อนหน้านี้ สตาเฮลสกีเองเผยว่า ทั้งตัวเขาเองและรีฟส์เอง ต้องการจะหยุดพักเพื่อเอาเวลาไปโฟกัสกับโปรเจกต์ของตัวเอง และพวกเขาจะไม่กลับมาแน่นอน ถ้ายังไม่มีไอเดียเรื่องราวที่ทรงพลังมากพอ เขาเองเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Empire โดยเปิดเผยว่า มีการถ่ายฉากจบที่ จอห์น วิค จะมีชีวิตอยู่เอาไว้แล้ว แต่ตอนฉาย Screen Test ผู้ชมกลับชื่นชอบฉากจบแบบในหนังที่ดูคลุมเครือกว่า

ในขณะที่รีฟส์ก็เคยเปิดเผยกับ Entertainment Weekly ว่า เขาเองก็พร้อมที่จะกลับมาใน ‘John Wick 5’ แต่มีเงื่อนไขว่า จะต้องให้สตาเฮลสกีกลับมากำกับเหมือนเดิม “ผมจะไม่แสดง ‘John Wick’ ถ้าไม่มีแชด สตาเฮลสกี เป็นผู้กำกับ เราคงต้องดูว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบไหนก่อน ซึ่งตัวผมคิดว่ามันถูกต้องแล้วที่จะให้ จอห์น วิค ได้พบกับความสงบสุข”

ส่วนไอวานิกเผยว่า เขาเองก็ไม่ต้องการจะบอกลา ‘John Wick’ เช่นกัน เขาเองเต็มใจที่จะรอให้คู่หูอย่างรีฟส์มีกำลังวังชาพร้อมเสียก่อน หรือถ้าหากไม่พร้อม การพักผ่อนจากภารกิจที่จบแบบเป็นตำนาน ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดีงาม

“เราทุกคนก็อยากให้มี ‘John Wick’ อีกครับ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง และจะมาเมื่อไหร่ แต่พวกเรารักมัน แล้วก็รักในจักรวาลนี้ ต่อให้เราพยายามคิดหาคำตอบ แต่ถ้าคิดไม่ออก เราก็คงไม่ทำ ไม่มีใครขัดขวางเรื่องนี้ได้”


ที่มา: Collider, Variety