หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เดเมียน ชาร์เชล ได้พาทุกคนไปพบกับความมหัศจรรย์ของดนตรีแจ้ส ใน Whiplash และ La La Land จนหนังทั้งสองเรื่องกลายเป็นหนังในดวงใจหลาย ๆ คน และปลุกกระแสวงการเพลงแจ้ส ให้เป็นที่สนใจของคนในวงกว้างมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับ The Eddy ผลงานซีรีส์ที่ ชาร์เชล ร่วมกำกับ และอำนวยการสร้าง เป็นผลงานที่จะพาทุกคนไปพบกับอีกด้านของวงการเพลงแจ้ส ที่ไม่ค่อยมีหนัง หรือซีรีส์เรื่องไหนหยิบมานำเสนอกับโลกอาชญากรรม และดนตรี ที่ต้องมาโคจรพบกันจนกลายเป็นเหตุการณ์มากมายที่ชุลมุน วุ่นวายตลอด 8 EP. ของซีรีส์เรื่องนี้ซีรีส์จะว่าด้วยเรื่องราวของคลับแห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส ที่มีชื่อว่า The Eddy ที่ดูแลโดย แอลเลียต อูโด(อังเดร ฮอลแลนด์) ซึ่ง อูโด ได้ผันตัวจากการเล่นดนตรี มาเป็นเจ้าของคลับ และวงดนตรีแจ้ส ของเขาเอง เหตุการณ์ของซีรีส์ได้เริ่มขึ้น เมื่อ จูลี่(อแมนดา สแตนเบิร์ก) ลูกสาวของเขา ได้เดินทางจากอเมริกา เพื่อมาอยู่กับเขา พร้อมทั้งได้เกิดคดีฆาตกรรมไม่คาดฝัน เมื่อหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของวงดนตรี ได้ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมจากการที่เขายักยอกเงินของผู้มีอิทธิพล อูโด จึงต้องถูกลูกน้องของผู้มีอิทธิพล คอยไล่ล่า กดดัน เพื่อให้เขาหาเงินมาคืน ไม่เช่นนั้นคลับของเขาอาจต้องถึงคราวต้องสิ้นสุดThe Eddy ยังเป็นอีกหนึ่งผลงานที่มีดนตรีแจ้ส เป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง แต่หากใครที่คุ้นเคยกับงานของ ชาร์เชล จะรู้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะไม่ได้โฟกัสไปที่ดนตรีเป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง แต่หัวใจสำคัญของซีรีส์เรื่องนี้ คือการพาคนดูไปผจญภัยในโลกอาชญากรรมของฝรั่งเศส รวมถึงชีวิตผู้คนที่อยู่รายล้อมคลับ The Eddy ที่หลากรสชาติ และมีความเข้มข้นที่แตกต่างกันไป ด้วยความที่ซีรีส์ใช้ความยาวทั้ง 8 EP. แต่ละ EP. จะเป็นการพาเราไปทำความรู้จักกับแต่ละตัวละคร ทำให้ซีรีส์สามารถสร้างมิติแต่ละตัวละครออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา และทุกตัวละครในเรื่องมีความโดดเด่น น่าจดจำเท่า ๆ กันความสนุกของซีรีส์เรื่องนี้คือการที่คนดูได้ไปพบกับช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของคน ๆ หนึ่ง(ซึ่งนั่นก็คือ แอลเลียต) และวงดนตรีวงหนึ่ง โดยตลอดทั้งเรื่องเราจะพบว่า แอลเลียต กลายเป็นตัวละครที่กำลังค่อย ๆ ล้มเหลวในการทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเป็นหัวหน้าที่ดี ,การเป็นเจ้าของวง ,เจ้าของคลับที่ดี ไปจนถึงหน้าที่่พ่อ ที่ตัวละครนี้ไม่สามารถจัดการสถานการณ์ให้ออกมาราบรื่นได้ หนำซ้ำ เขายังต้องเผชิญความโชคร้ายต่าง ๆ จนทำให้เรื่องวายป่วงมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากความโขคร้ายของ แอลเลียตแล้ว สิ่งที่ตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องประสบพบเจอก็เลวร้าย และรันทดไม่แพ้กัน สิ่งที่ทำให้คนดูอย่างเรา ๆ ติดตาม และเอาใจช่วยตัวละครในเรื่องนี้ไปจนจบเรื่อง คือการลุ้นว่าตัวละครเหล่านี้จะสามารถกลับมาตั้งหลักในชีวิตอีกครั้งได้อย่างไร ซีรีส์เลือกวิธีถ่ายทำด้วยการถ่ายในรูปแบบ แฮนด์เฮล ซึ่งให้ความสมจริง และเป็นธรรมชาติมากกว่าซีรีส์หลาย ๆ เรื่องที่คุ้นเคย หลาย ๆ ฉากถูกถ่ายทำเป็นลองเทค ที่ออกมาชวนเพลิดเพลิน และถ่ายทอดบรรยากาศอีกด้านของเมืองปารีสออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้เพลงแจ้ส ประกอบซีรีส์ที่ได้ โจแอนนา คูลิก ที่แสดงนำ และร้องเพลงประกอบ ที่ไพเราะจับใจ จนเสียงของเธอติดหูคนดู พร้อมทั้งยังช่วยทำให้ความดาร์ค ความตึงเครียดของซีรีส์เรื่องนี้ดูซอฟต์ลงได้จุดด้อยของ The Eddy คือเงื่อนไขความเป็นมินิซีรีส์ของเรื่อง ทำให้เนื้อหาของซีรีส์ต้องถูกเล่าออกมาให้กระชับที่สุด ทำให้ซีรีส์ไม่สามารถลงดีเทลล์ในบางส่วนได้ หลาย ๆ ตัวละครกลับกลายเป็นเพียงตัวประกอบที่ขาดเสน่ห์ให้ชวนจดจำ รวมถึงการที่ซีรีส์พยายามเล่นกับพาร์ทอาชญากรรมมากเกินไป ทำให้ความเป็นซีรีส์ดนตรีของเรื่องนี้ดูดรอปลงไปอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม The Eddy ถือว่าเป็นซีรีส์ดนตรีในไม่กี่เรื่องของ Netflix ที่สามารถนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ออกมาได้อย่างกลมกล่อมลงตัว ไม่ว่าจะเป็นดราม่า อาชญากรรม ที่นำเสนอออกมาได้อย่างน่าติดตาม แม้ว่าพาร์ทของวงการดนตรี จะถูกเล่าแบบกระชับ รวบรัดไปพอสมควร แต่ซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้สะท้อนให้เราได้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของดนตรี ที่นำพาคนมากมายได้มารู้จัก มาปฏิสัมพันธ์กัน ท่ามกลางทั้งเรื่องดี และร้ายมากมายในชีวิต สิ่งที่ The Eddy สอนไว้อาจไม่ต่างจาก La La Land ในทำนองที่ว่า ท้ายที่สุดแล้ว ดนตรีจะช่วยเยียวยาทุกอย่างให้ดีขึ้นได้สามารถรับชม The Eddy บน Netflix ผ่านกล่อง True ID ได้แล้ววันนี้ ลิงก์สำหรับชมภาพยนตร์ https://www.netflix.com/title/80197844 Cr. ภาพ หน้าปก / ภาพ1 / ภาพ2 / ภาพ3 / ภาพ4