(ขอบคุณภาพหน้าปกจาก Gerd Altmann จาก Pixaba.com โดยผู้เขียนตกแต่งภาพเอง) ถ้าถามคนรักหนังว่า หากจะหาหนังดี ๆ ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมาดูซักเรื่อง เชื่อว่า The Pursuit of Happyness จะต้องเป็น Top 5 ที่ติดอยู่ในโผแน่นอน สำหรับใครที่ยังไม่เคยชมเรื่องนี้ วันนี้ผู้เขียนจะมารีวิวให้ชมค่ะขอบคุณภาพจาก Columbia PictureThe Pursuit of Happyness ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 2006 และนำแสดงโดยหนึ่งในดาราชายยอดนิยมตลอดกาล Will Smith ค่ะ โดยพ่วงมาด้วยลูกชายตัวน้อยสุดน่ารัก Jaden Smith ค่ะ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวชีวิตของนายหน้าค้าหลักทรัพย์หรือ Broker คนหนึ่งที่ชื่อ คริสโตเฟอร์ การ์ดเนอร์ (Christopher Garder) ว่า กว่าจะประสบความสำเร็จได้ ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ทุกข์ทน และขมขื่นอย่างไรบ้าง ซึ่งขอบอกค่ะว่าคุณการ์ดเนอร์คนนี้เป็นบุคคลที่มีอยู่จริง และยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ค่ะ แม้บทภาพยนตร์จะมีการดัดแปลงไปบ้างบางส่วนเพื่อให้ผู้ชมได้รับอรรถรสเพิ่มขึ้น แต่แกนหลักจริง ๆ ก็ based on true story ค่ะขอบคุณภาพจาก Wikipedia https://en.wikipedia.org/wiki/The_Pursuit_of_Happynessสำหรับเนื้อเรื่องคร่าว ๆ ของ The Pursuit of Happyness เริ่มต้นที่ชีวิตของคริส พระเอกของเราซึ่งมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีภรรยาและลูกชายที่น่ารัก 1 คน โดยภรรยาทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดที่โรงแรม ส่วนพระเอกได้นำเงินเก็บทั้งหมดที่เขามีไปลงทุนซื้อเครื่องสแกนกระดูก (Bone Scanner) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ชนิดหนึ่งจากบริษัท เพื่อนำมาขายต่อให้กับคุณหมอในโรงพยาลและคลินิกต่าง ๆ โดยในช่วงแรกการลงทุนของเขาทำผลตอบแทนให้ดีมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เครื่องสแกนกระดูกที่ซื้อมานั้นแทบขายไม่ได้ และเงินทุนทั้งหมดที่เขามีก็จมไปกับมันเรียบร้อยแล้ว ทำให้ครอบครัวเริ่มจะเกิดปัญหาทางการเงินขึ้นมา ฝ่ายพระเอกออกจากบ้านทุกวันเพื่อนำเจ้าเครื่องนี้ไปเสนอขายตามที่ต่าง ๆ แต่ก็กลับบ้านมาพร้อมกับเจ้าเครื่องเดิมนี้ ซึ่งก็คือ ขายไม่ออกนั่นเอง ฝ่ายภรรยาเริ่มทนไม่ไหวเนื่องจากเห็นสามีล้มเหลว ประกอบกับตัวเองต้องทำงานหนักขึ้น บางวันต้องทำ 2 กะ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว และเป็นจุดแตกหักให้ทั้งคู่แยกทางกันในที่สุด คริสนำลูกชายมาอยู่ด้วย โดยเริ่มจากการออกมาเช่าห้องเล็ก ๆ อยู่ และพยายามขายเครื่องสแกนกระดูก แต่สุดท้ายสถานการณ์ทางการเงินกลับยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ วันหนึ่งคริสบังเอิญไปเจอชายแต่งตัวดีคนหนึ่งก้าวออกมาจากรถสปอร์ตคันหรูในย่านวอลสตรีท ซึ่งเป็นแหล่งการเงินที่สำคัญของอเมริกา คริสจึงเดินเข้าไปถามชายคนนั้นว่าเขาทำงานอะไรและซื้อรถคันนี้ได้อย่างไร (ประมาณว่า ทำมาหากินอะไรถึงรวยจนซื้อรถสปอร์ตสุดหรูแบบนี้ได้น่ะค่ะ) ซึ่งชายคนนั้นก็ตอบว่า เขาทำงานเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (Stock Broker) ขอบคุณภาพจาก Pixabay https://pixabay.com/illustrations/wall-street-usa-person-freelancer-4847634/หลังจากนั้น คริสจึงได้พยายามเข้าไปสมัครโครงการฝึกงานกับบริษัท broker ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโครงการที่ให้ผู้สมัครทุกคนได้มาลองฝึกงานและเรียนรู้สัมผัสชีวิต broker ในช่วงระยะเวลาหนึ่งและจะมีสอบวัดผลในตอนท้าย ซึ่งการฝึกงานนี้ไม่มีค่าตอบแทนให้นะคะ ใครที่ได้คะแนนสูงสุดก็จะได้ทำงานที่บริษัทนี้ ซึ่งหมายถึง งานที่ค่าตอบแทนสูงและโอกาสได้รถสปอร์ตในฝันค่ะคริสเริ่มเข้าไปฝึกงานที่นี่ ซึ่งหน้าที่หลักคือโทรหาลูกค้าและชักชวนให้ลงทุนซื้อหุ้น ยิ่งใครโทรหาลูกค้าได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสมากเท่านั้น ซึ่งเขาเสียเปรียบผู้สมัครคนอื่นมากมาย เนื่องจากทุก ๆ วันเขาจะมีเวลาทำงานน้อยกว่าคนอื่น เพราะต้องรีบไปรับลูกชายจากศูนย์ดูแลและมาต่อคิวแย่งกันเพื่อให้ได้โควต้าที่พักในศูนย์พักพิงฟรี (ในช่วงนี้พระเอกของเราถังแตกสุด ๆ แล้วค่ะ ไม่มีบ้านอยู่ ต้องไปอยู่ที่ศูนย์ดูแลคนไร้บ้าน และตระเวนเปลี่ยนที่พักไปทุกคืนค่ะ) โดยตั้งแต่กลางเรื่องเป็นต้นไป หนังจะฉายให้เห็นถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตของพระเอก ไหนจะต้องทำงาน ไหนจะต้องรีบมาต่อคิวแย่งที่พัก และในตอนกลางคืนก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบของ broker ไปด้วย บางคืนก็ต้องออกมาอ่านตามทางเดินในศูนย์พักพิงที่มีแสงไฟสว่างเพียงน้อยนิด เรียกได้ว่าสู้ชีวิตสุด ๆ ไปเลยค่ะ บางวันพระเอกของเราไม่มีเงินจริง ๆ ก็ต้องไปบริจาคเลือดเพื่อแลกกับเงินก็มีค่ะ และหนึ่งในฉากที่แทบจะถูกยกให้เป็นจุดสะเทือนใจที่สุดของหนังเรื่องนี้ คือตอนที่พระเอกไม่สามารถหาที่พักในคืนหนึ่งได้ จึงต้องหอบพาลูกชายไปนอนอยู่ในห้องน้ำสาธารณะค่ะ นอนกอดลูกชายไปพร้อมกับน้ำตาไหลสะท้อนความทุกข์ทนของชีวิตที่ต้องพบเจอ เรียกได้ว่ากระชากใจสุด ๆ เลยค่ะ สุดท้ายด้วยความพยายามและไม่ยอมแพ้ คริสก็สอบได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง และได้ทำงานเป็น broker ที่นี่สมใจค่ะ นับเป็นจุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้เค้ากลายมาเป็น broker มือฉมังอย่างวันนี้เลยค่ะ ฉากประทับใจในตอนท้ายของเรื่อง เป็นฉากที่ผู้บริหารเรียกคริสเข้าไปในห้องเพื่อจะบอกประมาณว่า “พรุ่งนี้ไม่ต้องมาฝึกงานแล้วนะ” พระเอกเราก็นิ่งช็อกไปค่ะ และทางนั้นก็พูดต่อว่า “แต่พรุ่งนี้ให้เข้ามาทำงานได้เลย” คราวนี้ฮีนิ่งไปเลยค่ะ ประโยคหนึ่งที่ชอบมากคือตอนผู้บริหารบอกกับคริสว่า “Life isn’t easy?” ประมาณว่า ชีวิตไม่ง่ายเลยเนอะ ซึ่งพระเอกก็ตอบ “Yes” พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา เหมือนกับจะถ่ายทอดว่า กว่าเขาจะมายืนถึงจุดนี้ได้ มีงาน มีเงิน มีที่อยู่แล้ว ชีวิตเขาต้องผ่านความยากลำบากอะไรมาบ้าง และจากนี้เส้นทางชีวิตของเขาและลูกก็เริ่มมีแสงสว่างสดใสสาดทอลงมาแล้วค่ะขอบคุณภาพจาก Pixabay https://pixabay.com/photos/dollar-flying-concept-business-2891817/เป็นอย่างไรบ้างคะกับรีวิวเรื่อง The Pursuit of Happyness นี้ เรื่องนี้ผู้เขียนยกให้เป็นหนังอันดับ 1 ในใจเลยค่ะ ช่วงไหนที่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อก็จะหยิบมาดูใหม่ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเองว่า ไม่ว่าชีวิตช่วงนี้จะยากลำบากแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ยอมล้มไปซะก่อน อนาคตจะต้องมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ