Series Full ReviewLiver Or Die (What’s wrong , Poon Sang) (2019)ทุกความทรงจำมีความจริงซ่อนอยู่คนละด้าน บางครั้งอาจต้องจ่ายในราคาแสนแพงเพื่อเปิดมันออกมา งดงามบนความรันทดของชีวิตสามัญในงานแนวดราม่าเข้มข้นนั้นพลังขับเคลื่อนหลักที่จะสะกดอารมณ์คนดูได้นั้นการแสดงของนักแสดงมีส่วนสำคัญมิเช่นนั้นก็ไม่อาจถ่ายทอดเจตนาของบทได้ ยิ่งในยุคปัจจุบันจะไม่ใช่มีแค่ความดราม่าเรียกน้ำตาถ่ายเดียวแต่มักจะมีสิ่งที่สอดแทรกแฝงไว้ให้คนดูได้คิดได้สัมผัสมากน้อยก็ว่ากันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานดราม่าที่เป็นงานซีรีส์ขนาดยาวความลำบากยิ่งมาก เพราะความยาวในการเล่าเรื่องจะทำให้ยากในการประคองระดับมาตรฐานของบทและการแสดงจึงมีไม่น้อยที่มักจะเห็นริ้วรอยระหว่างทาง และสิ่งที่ต้องมาช่วยคือพลังดาราของนักแสดง แล้วเท่าที่ผ่านมาเพราะดูไปบ่นไปเลือกดูซีรีส์เกาหลีเป็นส่วนใหญ่กลับไม่ได้เห็นการแสดงที่ไม่ได้หรือแสดงแย่ ส่วนหนึ่งคงต้องบอกว่าการแข่งขันที่สูงทำให้นักแสดงเกาหลีอุดมไปด้วยระดับยอดฝีมือมาตรฐานสูงตามและกับงานที่เสนอตัวเป็นดราม่าสะท้อนสังคมนั่นคือการบอกสังคมว่ายังมีเรื่องราวบางอย่างที่เป็นผลพวงของกลไกบางอย่าง มีเรื่องราวอีกมากที่อาจไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาที่จับจ้องแต่การดำรงชีวิตหรือบอกกับคนดูว่ายังมีอีกหลายแง่มุมที่ได้ถูกหลงลืมไป ชะตากรรมของชนชั้นล่างที่มักจะถูกหมางเมินหรือถูกมองด้วยความหยามเหยียดในการไม่สามารถลืมตาอ้าปาก กระทั่งการถูกทำร้ายโดยระบบทั้งที่คนระดับล่างเหล่านั้นก็ตั้งอยู่บนความสุจริตเสมอมา เพราะชีวิตคนเหล่านี้ที่เป็นกลไกเล็กๆแต่มีส่วนสำคัญในพลวัตรทางสังคมได้ถูกละเลยและหมางเมิน ซีรีส์ดราม่าจึงต้องมาบอกกับผู้คนที่ได้ชมว่าพวกเขาผิดอะไรทำไมชีวิตพวกเขาจึงไม่สามารถอยู่ได้แบบปกติสุข เช่นเดียวกับงานดราม่าที่มีบทที่มีเจตนาชัด และขับเคลื่อนด้วยการแสดงระดับสุดยอดไปได้ตลอดยี่สิบตอนเรื่องนี้ Liver Or Die (Whats Wrong,Poong-Sang)เรื่องย่ออีพุงซัง (ยูจุนซัง) ชายวัยสี่สิบกว่าเจ้าของอู่ซ่อมรถเล็กๆและรับล้างรถเป็นพี่ชายคนโตที่มีพี่น้องห้าคน คนรองคือชายไร้แก่นสารติดพนันและขี้เกียจอีจินซัง (โอจีโฮ) คนกลางคือแฝดพี่ที่ประสบความสำเร็จเป็นศัลยแพทย์เป็นหน้าเป็นตาและอยู่ในรูปในรอยที่สุดคืออีจองซัง (จอนฮเยบิน) คนที่สี่คือแฝดน้องที่เหมือนพี่คนรองคือไร้แก่นสารทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันใช้ชีวิตไม่มีหลักอีฮวาซัง (อีซียัง) และน้องคนเล็กที่เป็นอดีตนักเบสบอลที่มีอนาคตแต่ได้รับบาดเจ็บจนต้องเลิกเล่นและกำลังหลีกหนีจากเส้นทางนักเลงคืออีเวซัง (ชาซอวอน) แต่ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ยังต้องอยู่ร่วมกับครอบครัวพี่คนโตที่มีภรรยาผู้อดทนเสมอมาคือคันบุนซิล (ชินดองมี) และลูกสาวที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นคืออีจุงอี (คิมจียอง) เมื่อครอบครัวที่เหมือนจะเป็นหนึ่งแต่กลับแยกเป็นสอง เพราะพุงซังต้องรับบทเป็นหัวหน้าครอบครัวเป็นพี่คนโตเป็นสามีและเป็นพ่อความล่มสลายของครอบครัวนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อพ่อผู้ไม่เคยมาดูแลเสียชีวิตแล้วในงานศพที่พี่น้องไม่มองกันในมุมดีก็ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง สุดท้ายความอดทนของพี่สะใภ้ที่ต้องเลี้ยงดูน้องสามีมาตั้งแต่แต่งงานทนใช้ชีวิตอย่างลำบากก็หมดลงจึงหอบลูกไปและจะหย่าขาดจากพุงซัง แต่เรื่องราวแย่ๆก็ไม่เคยตัดขาดไปจากชีวิตพุงซังแม้ว่าย่ำแย่พุงซังก็ยังซ่อนความจริงบางอย่างเพื่อถนอมหัวใจของน้องๆจนกระทั่งความจริงนั้นย้อนกลับมาทำร้ายให้ต้องแตกหักกัน จนวันหนึ่งร่างกายที่ต้องแบกภาระมานานปีก็ถึงเวลาที่ต้องเสื่อมสลายพุงซังตรวจเจอว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับ ทางรอดเดียวคือการปลูกถ่ายตับแต่พี่ชายที่ดูแลน้องๆมาอย่างดีเท่าที่ทำได้กลับไม่มีหน้าไปขอตับจากน้องๆเพราะความรู้สึกผิดที่ดูแลน้องๆได้ไม่ดีพอ จนยอมหย่ากับบุนซิลเพื่อตัดปัญหาอันมาจากความสัมพันธ์ของเขาและเธอกระทั่งยอมรับที่จะเผชิญหน้าความตายโดยลำพังบทเด่นดราม่าด้วยจุดมุ่งหมายสะท้อนสังคมและปลอบประโลมหัวใจนี่คืองานซีรีส์ที่มีจำนวนถึงยี่สิบตอนตอนละประมาณหนึ่งชั่วโมง นี่ก็คือบทละครที่แข็งแรงในจุดมุ่งหมายในทิศทางที่จะสะท้อนสังคมและปลอบประโลมหัวใจว่าทุกเรื่องร้ายจะผ่านไปได้แต่มีข้อแม้คือต้องหันหน้ามาคุยกัน และหากจะป้องกันสิ่งที่เห็นที่เป็นปลายเหตุการเปิดใจเผยความจริงต้องเริ่มตั้งแต่แรกมิให้แผลลุกลามกลัดหนอง และเมื่อบทตั้งหน้าท้าทายบริบททางสังคมเล่าเรื่องชีวิตของคนชั้นฐานรากอีกครั้งแล้วเผยแง่มุมที่ชนชั้นกลางทั่วไปอาจมองไม่เห็นหรือหลงลืม นั่นคือชนชั้นฐานรากมากมายที่ใช้ชีวิตอย่างมุมานะมุ่งมั่นหาเลี้ยงครอบครัวด้วยความสุจริต แต่พวกเขาไม่เคยลืมตาอ้าปากได้เพราะไม่เคยมีรูเพียงเล็กน้อยให้พวกเขามุดออกมาเพราะระบบที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กได้ฝังแน่นลงในสังคมทุนนิยมแล้ว และบทก็บอกให้รู้ว่ามนุษย์จะไม่มีทางหลีกหนีจากทุนนิยมได้และอาจบางทีก็ถูกระบบทำร้ายแต่ใช่ว่ามนุษย์จะต้องเคียดแค้นและตั้งท่าเอาคืนเสมอไปก็ขึ้นอยู่กับจิตใจข้างในที่ดีและสุจริตเช่นชายที่ชื่อว่าอีพุงซัง ก็ใช่ที่คนเขียนบทใจร้ายที่สรรหาอะไรมาให้พุงซังแบกอย่างไม่หยุดหย่อนแต่นั่นก็คือความหมายของพายุที่โหมกระหน่ำอันจะนำมาซึ่งฟ้าใสเมื่อพายุสงบ แต่แม้ว่าจะดูเหมือนชีวิตชายคนนี้ที่เป็นพี่ที่ดีเป็นสามีที่ซื่อสัตย์แต่ก็มอบมุมที่เป็นตัวแปรทางหัวใจคือการละเลยในสิ่งที่ไม่ควร เพราะความที่ระบบอีกเช่นกันที่ทำให้เขาต้องมุมานะเกินมนุษย์จนลืมรายละเอียดบางประการ ที่น่าชื่นชมบนความใจไม้ไส้ระกำของคนเขียนบทที่มอบชีวิตที่สุดรันทดให้พุงซังคือไม่มีเรื่องไหนที่คนดูจะรู้สึกว่าเหนือจริงหรือเป็นเรื่องที่เร้าเอาน้ำตา แต่ด้วยความที่สังคมบังคับให้มนุษย์ก้มหน้ามองแค่ชีวิตตนเองจึงมิอาจมองเห็นซีรีส์แบบนี้จึงมีหน้าที่มาบอกเล่า แต่การเล่าแบบไม่เร่งไม่บีบแต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานตามชีวิตจริงก็สามารถบีบหัวใจได้โดยไม่รู้ตัวซึ่งหากมองดูให้ละเอียดคือชีวิตของชายคนนี้ที่แสนดีแต่กลับไม่ได้รับสิ่งดีๆตอบแทน ไม่เคยได้หวีผม ไม่เคยได้แต่งตัว ไม่เคยได้ดูแลตัวเอง มือดำหยาบกร้านจากการทำงานมาทั้งชีวิตเพื่อคนอื่น แต่หากจะคิดว่ามันคือเรื่องรันทดที่ดิ่งลึกก็ไม่ใช่ทั้งหมดเพราะยังมีแง่มุมที่เบาๆให้ได้รู้สึกผ่อนคลาย ทำให้เรื่องที่หนักปานถูกภูเขาทั้งลูกกดทับไม่ได้อึดอัดจนเกินไปเพราะยังมีรอยยิ้มได้เสมอในทุกตอนอย่างสมดุลแนบเนียนเพราะบางครั้งหลังใบหน้าที่หัวเราะก็มีน้ำตาได้ สุดท้ายแม้ปฐมเหตุของชีวิตที่เจอแต่เรื่องร้ายๆของพุงซังจะถูกมองว่ามาจากสังคม แต่ตัวแปรสำคัญคือครอบครัวคือแม่ผู้เหลวแหลกจนพ่อถอดใจและพุงซังกลายเป็นทั้งพ่อ แม่ และเป็นพี่ชายก่อนวัยอันควร ซึ่งในสังคมโลกยังมีคนแบบนี้อีกมายมายที่ไม่ได้มองเห็นเป็นข่าว และมีคนอีกมากมายที่ไม่สามารถประคองครอบครัวด้วยแขนที่แบกเกินกำลังมาได้จนเห็นรางวัลของชีวิตในปลายทางเหมือนอีพุงซังทุกความทรงจำมีสองด้านเสมอแต่คนเลือกจะจำส่วนที่เลวร้ายชีวิตของอีพุงซังอาจคือความรันทดที่ตั้งบนความดีงามปฐมเหตุก็อาจมาจากสังคม สังคมที่บีบให้เขาต้องกลายเป็นทุกอย่างของน้องๆตั้งแต่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ สังคมที่ชีวิตต้องดิ้นรนเพื่อปากท้องทำให้เขาต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยและยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อน้องๆ ยอมสละกระทั่งครอบครัวที่สร้างมาคือภรรยาและลูกเมื่อการใช้ชีวิตที่ผ่านมาในการเลี้ยงดูของพี่ที่ต้องรับผิดชอบเกินวัยได้สร้างความทรงจำมากมายให้กับน้องๆที่ต้องผ่านวัยเด็กมาด้วยกันและแน่นอนในสภาวะแบบนั้นคงไม่ราบรื่นสวยงาม เพราะความทรงจำมักมีสองด้านเสมอเช่นเดียวกับความจริงที่อยู่ในสองด้านแห่งความทรงจำ และเรื่องเจ็บปวดที่สุดของมนุษยชาติคือเมื่อความทรงจำและความจริงมีสองด้านมนุษย์มักจำและรำลึกถึงด้านที่แย่ก่อนเสมอหากชีวิตอีพุงซังที่เป็นเช่นนี้มาในปัจจุบันที่ได้เห็นมีสาเหตุจากอดีตที่ได้ผ่านคืนวันอันยากลำบาก แต่พุงซังทำอะไรผิดชีวิตจึงต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งหากลองคิดให้ดีอาจมองว่าพุงซังผิดที่ไม่ยอมเปิดเผยความจริงอีกด้านให้น้องๆรู้ แต่โลกก็มักจะมีคนเช่นนี้ที่คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองไม่ยอมทำร้ายคนอื่นนอกจากตัวเองไม่เคยอวดความดีของตัวเองแต่พร้อมยืดอกรับความผิดพลาดของคนอื่นและพุงซังคือคนแบบนี้ เพราะความที่ต้องการรักษาน้ำใจไม่ต้องการให้น้องๆได้เห็นมุมที่พี่ชายทำเพื่อพวกเขา กระทั่งปกปิดความจริงมากมายที่เกิดจากแม่เพราะต้องการรักษาภาพแม่ในอุดมคติน้องๆและมันกลายมาเป็นแผลที่กลัดหนองยากจะหาย ทำให้ทุกความทรงจำที่มีมากมายกลายเป็นมุมร้ายในชีวิตที่แร้นแค้น และนั่นคือการหล่อหลอมความเป็นจินซังและฮวาซังที่น่าชิงชังรังเกียจเสมอต้นเสมอปลายแต่หากวันนั้นพี่ชายไม่ดูแลพวกเขามาตามอัตภาพชีวิตพวกเขาอาจดำดิ่งไปกว่านี้หรือไม่ และคนแบบนี้ก็มีมากมายที่รอจุดเปลี่ยนแต่โชคร้ายที่คนแบบนี้จำนวนมากจะมองไม่เห็นจุดเปลี่ยนเพราะความคิดที่ไร้วุฒิภาวะจนกระทั่งต้องแลกกับบางอย่าง ความจริงจึงได้ปรากฏภาพความทรงจำอีกด้านว่าหากไม่มีสองแขนที่บอบบางของพี่ชายมาโอบไว้หรือหากไม่มีความเอื้ออารีด้วยความอดทนของพี่สะใภ้คนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างแบบนี้จะมีชีวิตที่ไปลงเอยที่จุดไหน จนถึงจุดนี้อะไรก็ตามที่พุงซังทำมาตั้งแต่วันที่แบกภาระอีกสี่ชีวิตไว้ทั้งสองบ่าก็ไม่นับว่าผิดต่อใครแม้กระทั่งตัวเองเพราะความสุขของพุงซังก็คือการดูแลน้องๆ แต่หากจะโทษก็อาจโทษสังคมได้เพราะสังคมได้หล่อหลอมให้มีคนที่ไม่ยอมทำตามเส้นทางที่ควรอย่างแม่ หรือความเป็นมนุษย์ที่คิดแค่ในมุมของตัวเองซึ่งอาจเป็นเรื่องสามัญของโลกแต่อย่างน้อยชายที่ชื่ออีพุงซังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยเชิดหน้าชูตางานแสดงที่บอกว่าบทชั้นยอดต้องขับเคลื่อนด้วยการแสดงชั้นเยี่ยมเมื่อคนหนึ่งคนต้องเป็นผู้ใหญ่ในวันที่ไม่พร้อมต้องแบกรับภาระที่มากมายในวัยสิบเจ็ดนั่นคือโอกาสที่หายไปในการใช้ชีวิตมากมาย และความเป็นอีพุงซังที่ได้ผ่านชีวิตแบบนั้นมา ก็ถูกถ่ายทอดออกมาทั้งวิญญาณผ่านการแสดงของระดับยอดฝีมืออีกคนคือยูจุนซังที่รับบทชายชนชั้นล่างไร้การศึกษาใช้ชีวิตที่ยากลำบากมาทั้งชีวิต อดทนต่อทุกอย่าง จิตใจดี ซื่อสัตย์สุจริต ยูจุนซังคือทุกอย่างที่ควรจะเป็นหรือควรจะได้เห็นจากบทอีพุงซังชายที่ต้องเจอกับเรื่องราวมากมาย และพลังงานที่แข็งแกร่งของบทได้ถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างแข็งแรงไม่มีแผ่วโดยชายที่ชื่อยูจุนซัง เพราะนี่คือเรื่องราวชีวิตที่ผิดตรงไหนของอีพุงซังการแสดงของยูจุนซังจึงเป็นทุกอย่างของเรื่อง ขนาดที่ว่าความเป็นอีพุงซังที่น่าสงสารได้ถูกสื่อออกมาแค่เห็นหน้าก็กระตุ้นต่อมน้ำตาแล้ว แต่ก็ใช่ว่ายูจุนซังจะเป็นคนแบกเรื่องคนเดียวแต่เขาคือคนกระจายอารมณ์และมิติให้ตัวละครอื่นๆที่มากหน้า แต่ที่ต้องบอกว่าเป็นส่วนที่เสริมอารมณ์ให้สัมผัสได้เลยคือตัวละครจินซังของโอจีโฮกับตัวละครฮวาซังของอีจียองที่เป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ เพราะเชื่อว่าไม่มีใครไม่รังเกียจรำคาญกับความที่สองคนเป็นที่แม้ว่าจะดูน่ารังเกียจก็ยังแอบเห็นใจอยู่บ้างในส่วนลึกเพราะการถ่ายทอดที่เต็มมิติทางอารมณ์ของนักแสดงทั้งสองคนที่มอบให้ กระนั้นก็มิใช่ว่าตัวละครในอีกมุมจะดูด้อยกว่าเพียงแต่โดยธรรมชาติของคนมักจะมองเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจกว่าและจดจำสิ่งนั้นได้กว่า และการแสดงก็อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมไม่ต่างกันมีอะไรให้ปล่อยของพอๆกันของชินดองมีภรรยาผู้เอาแต่ก่นด่าในความรักที่สามีมีต่อน้องๆแต่ในใจก็รักผู้ชายคนนี้สุดหัวใจ หรือจอนฮเยบินกับบทจองซังที่เหมือนเป็นความหวังและความภูมิใจของพี่ชายจนกลายเป็นแกะดำในบ้าน หรือชาซอวอนในบทเวซังน้องเล็กผู้เงียบขรึมและว่านอนสอนง่าย แต่ทุกคนก็มีเรื่องราวย่อยๆให้รับผิดชอบได้อย่างดีเยี่ยมพอกัน ยังไม่รวมตัวละครสมทบที่มีสีสันและเป็นมิติที่ดึงอารมณ์ไว้ไม่ให้ตึงเกินไปอย่างสองแม่ลูกร้านสะดวกซื้อที่เป็นดั่งสายลมไต้ปีกของครอบครัวนี้หรือบทลูกสาวที่การเข้าสู่วัยรุ่นก็ทำร้ายจิตใจพ่อโดยไม่รู้ตัว นั้นหมายความว่าเรื่องนี้นอกจากบทละครที่แข็งแรงตั้งแต่ต้นเพราะทิศทางของเรื่องมั่นคง แล้วการแสดงก็ได้ถ่ายทอดเจตนาเริ่มต้นของบทออกมาได้ชนิดที่แค่ดนตรีประกอบขึ้นมาผ่านสีหน้าของอีพุงซังคนดูก็อาจรู้สึกขมในคอแล้วพุงซังทำอะไรผิดเขาอาจจะเลี้ยงดูได้ไม่ดีเท่าพ่อแม่แต่จะเอาอะไรกับเด็กอายุสิบเจ็ด เรื่องดราม่าที่จัดแบบนี้ได้ถูกเล่าให้มีอารมณ์ผสมกันทั้งขบบัน แอบมีโรแมนติกบนความรันทดเล็กๆ มีมุมที่สวยงามที่มีแกนหลักคือชีวิตรันทดและกดดันได้จนไม่รู้สึกเห็นมุมสว่างแต่กลับถูกเล่าได้กลมกล่อมและบันเทิง เป็นงานที่เล่าเรื่องธรรมดาของคนธรรมดาให้น่าติดตามได้อย่างน่าประหลาด เพราะความจริงจะมีใครที่ไหนอยากจะดูชีวิตของเจ้าของอู่ซ่อมรถเล็กๆที่วันๆทำแต่งานไม่เคยได้ใช้ชีวิตของตัวเองจนไม่มีเพื่อน แต่เรื่องที่ไม่น่าจะน่าสนใจกลับมีพลังเพราะตลอดทางที่มีเรื่องชีวิตของพุงซังเป็นแกนมิติปลีกย่อยที่เข้ามามีครบแทบทุกอารมณ์ และการใช้เรื่องราวที่มากมายที่ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่หนำซ้ำยังเป็นเรื่องที่ได้ผ่านตามามากมายให้การดูซีรีส์เกาหลี แต่กระนั้นเรื่องประดามีที่ได้เห็นก็คือเรื่องที่อาจสามารถสัมผัสได้ในแง่มุมชีวิตมุมใดมุมหนึ่งซึ่งการเอาเรื่องที่เล่ายาวๆได้แล้วย่อให้เป็นมิติย่อยๆให้กับเรื่องหลักออกมาลงตัว อาจมีบ้างที่ดูจงใจแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้หลุดไปจากโลกแห่งความเป็นจริง และที่ต้องยอมรับคือ เรื่องนี้จัดการอารมณ์คนดูได้ด้วยการปิดทุกอย่างในอีกด้านของความจริงที่หล่อหลอมความเป็นครอบครัวนี้แล้วชี้นำให้ผู้ชมรู้สึกโทษคนนั้นคนนี้ว่าเป็นคนผิดแม้กระทั่งพุงซังก็ไม่เว้น ทุกคนมีแง่มุมที่อาจเป็นเหตุผลของตัวเองหรือมีมุมที่ผิดอยู่แต่นั่นมิใช่หรือคือความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ที่ต้องมีความหลากหลายทางอารมณ์ ความคิด และความรู้สึก แต่ถึงที่สุดก็ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก เพราะทุกคนล้วนเป็นผลผลิตของระบบทางสังคมเพราะนี่คือซีรีส์สะท้อนสังคม แล้วเมื่อการต้องแลกด้วยชีวิตของคนหนึ่งคนให้ได้มาซึ่งความสดใสของชีวิตก็คือรางวัลที่พุงซังควรได้รับ อาจมีบ้างที่มีริ้วรอยแต่ก็นับว่าเป็นความงดงามที่คุ้มค่าและคู่ควรกับคำว่า "อย่าเพิ่งตายถ้ายังไม่ได้ดู"ดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 8 จาก program.kbs.co.krภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 7 จาก Facebook KBS 드라마 หมายเหตุ ผู้เขียน ดูไปบ่นไป คือบุคคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไป ถ้าคุณขอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้ รีวิวจัดเต็ม My Mister : คุณลุงของฉัน (2018) ความรันทดที่แสนงดงาม ทำให้กลายเป็นหนึ่งใน Best Of The Best ของใครหลายคนรีวิวจัดเต็ม My Liberation Notes ปล่อยใจสู่เสรี (2022) "บันทึกอิสรภาพที่เรียบง่าย สมจริง ซึมลึก ลงตัว สวยงาม"*STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"* ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี`คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565