เอาจริงก็ผ่านไปไวมากที่ Stranger Things เดินทางมาถึงซีซั่น 4 ถือว่าเป็นซีรีส์ที่เราเติบโตมาด้วยกัน และเราคนดูเองก็ได้เติบโตพร้อมกันตัวละคร เอาจริงก็ไม่ว่า Netflix จะทำออกมาอีก ซึ่งก็แอบน่าเป็นห่วงเล็กน้อยที่ไม่รู้ว่าเค้าจะกลับมาไม้ไหน เพราะซีซั่น 3 มันก็ทำหน้าที่เป็นภาคที่สามารถจบเรื่องราวได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์ดี แต่พอได้ดูซีซั่น 4 แล้วก็ทำให้เราได้รู้ว่าซีรีส์ก็ยังสามารถหยิบนำลูกเล่นเดิมมาปรุงได้สนุกมีสันเช่นเดิมและการขยับขยายต่อยอด อีกทั้งตอบคำถามที่สิ่งที่ค้างมาตั้งแต่ซีซั่นแรกก็ทำได้ไว้น่าสนใจและคลายปมไปในตัว โดยเราจะเขียนรีวิวแยกระหว่าง Vol.1 และ Vol.2 ไว้ เพื่อแยกให้เห็นโครงสร้างซีรีส์และจะเขียนถึงได้สะดวกVol.1 (ตอนที่ 1-7)สำหรับซีซั่น 4 ยังคงมีกลิ่นอายที่ค่อนข้างต่างจาก 3 ซีซั่นก่อนในแง่ของการเติบโต การเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจากการที่ตัวละครแต่ละคนได้เติบโตและดูมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น อีกทั้งเรื่องราวของซีรีส์มีโทนจริงจังมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันมันก็ยังไม่ละทิ้งกลิ่นอายความยุค 80’s ความเป็นเด็กในตัวท่ามกลางตัวละครกำลังเติบโต เราชอบที่ในเรื่องมันพูดถึงที่ว่า ไม่ว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน แต่ในตัวเราก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่ในนั้นและยังคงตัวตนที่ไม่สามารถสลัดทิ้งได้ ซึ่งก็ถือเป็นหัวใจที่ยังคงเป็นเสน่ห์ของซีรีส์เรื่องนี้ส่วนเส้นเรื่องในซีซั่นนี้น่าสนใจดี ซึ่งมันมีความเป็นกลุ่มก้อน ๆ หลายเส้นเรื่อง แต่ละกลุ่มตัวละครจะไม่ได้มาเจอกัน แต่ละเส้นเรื่องต่างก็มีหน้าที่เป้าหมายที่ต่างกัน ซึ่งก็ถูกเล่าไปในหลาย ๆ สถานที่ แต่ซีรีส์ก็สามารถจับมัดและเล่าออกมาได้เพลิดเพลินและเล่าได้ลื่นไหล จะมีติด ๆ ตรงที่ว่าช่วงเวลาระหว่างซีซั่น 3 และ 4 มีความห่างกันมาก เลยต้องอาศัยการปรับจูนเรื่องราวและตัวละครพอสมควรระหว่างดู ซึ่งความยาวของซีรีส์ถือว่ายาวมากก็ต้องสำรวจเรื่องราวตัวละครเก่าและใหม่ไปในตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ไม่ได้มีปัญหามากนักกับจุดนี้ แต่ที่มีปัญหาติดจริง ๆ คือเรื่องราวซีซั่นนี้ที่มีความคล้ายกับซีซั่นก่อนที่ดูมาในแง่ของเส้นเรื่องที่นำไปสู่ปลายทางทีเป็นจุดหมายเดียวกัน ภาพรวมเลยพอจับทางได้ แต่มันก็ถูกเสริมด้วยมิติตัวละคร การต่อยอดปมและเผยปริศนาของ Upside Down ที่น่าสนใจ อีกทั้งเสน่ห์บรรยากาศต่าง ๆ ก็ถูกหยิบใส่มาในซีรีส์ได้ลงตัว เราเลยสนุกเพลิดเพลินอย่างมากกับสิ่งต่าง ๆ ที่ว่ามานี้อีกอย่าง ความสนุกของซีซั่นนี้คือเราเห็นความตั้งใจของผู้สร้างที่มีความคารวะต่อหนังสยองขวัญยุคเก่า อย่างเช่น A Nightmare on Elm Street เป็นต้น (และมีซีนนึงที่รู้สึกคล้าย The Silence of the Lambs มาก ๆ) แต่ใด ๆ เราก็ค่อนข้างสนุกมากกับการได้เห็นความสยองขวัญที่ถูกจับมาอยู่ในซีรีส์ อีกทั้งงานภาพก็ยังออกมาดูดีมีเสน่ห์เช่นเดิม มีความหวือหวา มุมกล้องต่างๆอันมีสีสันและถูกออกแบบมาให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ Upside Down ซึ่งก็ทำได้ดีเท่าซีซั่นก่อนเสมอมา และที่โดดเด่นมาก ๆ ของซีรีส์คือยังคงหยิบเลือกเพลงประกอบได้เข้ากันในแต่ละซีน ทำให้ซีรีส์ออกมาทรงพลังVol.2 (ตอนที่ 8-9)สำหรับ 2 ตอนสุดท้ายก็ยังคงทำออกมาได้สนุกเพลิดเพลิน ซึ่งเราที่ดูห่างจาก Vol.1 มาพอสมควร ก็จะมีความรู้สึกที่ว่าตอนที่ 8 จะค่อนข้างเดินเรื่องช้าไปนิด ซึ่งตอนนี้ก็จะค่อนข้างเน้นตบให้เรื่องราวเข้าที่เข้าที่ทางเพื่อที่จะนำไปสู่ตอนที่ 9 ที่เป็นตอนจบของซีซั่นนี้ ซึ่งพอดูไปประมาณนึงก็มีความรู้สึกที่ค่อนข้างยืดยาว แต่ก็เป็นความเพลิดเพลินของคนดูที้ได้สัมผัสตอนจบที่อิ่มเอม การค่อย ๆ ปูเรื่องราวและบิวต์ความรู้สึกของคนดูจนพาไปสู่จุดไคลแม็กซ์ได้สมการรอคอยที่เรายังคงชอบในซีซั่นนี้คือซีรีส์ยังเล่าเรื่องราวของความสัมพันธ์ได้อย่างมีมิติและหัวใจในทุกความสัมพันธ์ ทำให้เราหลงรักตัวละครนำในเรื่องได้ดี โดยเฉพาะเอ็ดดี้และแม็กซ์มาก ๆที่เป็นตัวละครที่เราชอบมาก ๆ ที่ทำให้เราให้เห็นมุมที่ลึกของจิตใจความรู้สึก ผลกระทบของการสูญเสีย จุดเปลี่ยนที่ทำให้พวกเขานำพามาสู่ปลายทางที่ต้องการปกป้องผู้คนที่รักส่วนที่ทำให้ซีรีส์ยังคงประทับใจในซีรีส์คือการเล่าเส้นเรื่องที่หลากหลายตัวละคร แต่ยังสามารถเล่าให้น้ำหนักของตัวละครออกมาสำคัญและลงตัวในทุก ๆ คน อีกทั้งยังคงสนุกเพลิดเพลินมาก ๆ ความยาวตอนสุดท้ายที่ 2 ชั่วโมง เกือบ 30 นาที แทบจะไม่มีช่วงเวลาที่น่าเบื่อเลย เต็มไปด้วยอารมณ์ที่บีบคั้น ลุ้นระทึก เส้นเรื่องแต่ละเรื่องก็นำสู่ปลายทางได้สอดคล้องเข้ากันได้อย่างดีซึ่งสำหรับที่บางเส้นเรื่อง ตัวละครไม่ได้เจอกัน แต่มันก็ซัพพอร์ตสู่เรื่องราวเดียวกันได้อย่างลงตัวมาก ๆ ช่วงท้ายก็ทำเอาคนดูน้ำตาซึมและประทับใจ ซึ่งความพิเศษของคือเรื่องไม่ได้จบลงตัวและสวยงามแบบภาคก่อน ๆ มีความเน่าเศร้า แต่ก็มีโมเมนต์ที่ชวนประทับใจและอบอุ่นหัวใจ และสามารถทิ้งปมและปัญหาใหญ่ได้ยิ่งใหญ่และชวนน่าติดตามอย่างมากว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปและจะมอบบทสรุปให้กับซีรีส์แบบใด รอติดตามซีซั่น 5 ที่จะเป็นซีซั่นสุดท้ายเลยโดยรวมแล้ว Stranger Things 4 ยังคงรักษามาตรฐานความดีงามและความสนุกไว้ได้ดี รวมทั้งเสน่ห์กลิ่นอายความเป็นยุค 80's ก็ยังคงหยิบจับใช้ได้มีสีสัน แม้ว่าบางอย่างอาจจะถูกใช้มาซ้ำ ๆ เดิม ๆ จนชินไปแล้วบ้าง แต่สิ่งที่ดีมากนอกจากบรรยากาศที่มีเติมเต็มความสนุกและอารมณ์ความรู้สึกก็คือเคมีความสัมพันธ์ที่ยังคงทำออกมาได้ดีและทำให้เราหลงรักตัวละครต่าง ๆ ซึ่งเราก็ยังถือว่าชอบซีรีส์มาก ๆ สำหรับเราให้คะแนนซีรีส์เรื่องนี้อยู่ที่ 8 เต็ม 10***ที่กล่าวมาเป็นความคิดเห็นของผู้เขียน รสนิยมและความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยังไงก็ไปลองดูและพิสูจน์กันได้ฮะซีรีส์: Stranger Things: Season 4 (2022)ประเภท: ไซไฟ, สยองขวัญ, ลึกลับ, ดราม่าผู้สร้าง: The Duffer Brothersผู้กำกับ: The Duffer Brothers, Shawn Levy, Nimród Antalผู้เขียนบท: The Duffer Brothers, Caitlin Schneiderhan, Paul Dichter, Kate Trefry, Curtis Gwinnคะแนนจากผู้เขียน: 8/10ขอบคุณเครดิตภาพจาก Facebook: Stranger Thingsภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 / ภาพที่ 10 / ภาพที่ 11จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !*STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"*ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลก์คนที่ชอบ 'ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี'คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565