เมื่อช่วงต้นปี 2018 เราได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องหนึ่งเคยโพสต์เล่าเรื่องราวไปแล้วขออนุญาตนำกลับมาโพสต์อีกครั้งหนึ่งเลยละกัน ซึ่งเรื่องที่เราไปดู คือ The Shape of Water เป็นหนึ่งในหนังที่ได้นำกลับมาฉายอีกครั้งในช่วงเทศกาลออสการ์ แถมยังได้รางวัลจากเทศกาลเดียวกันนี้ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครองอีกด้วย (ภาพจาก ภาพยนตร์เรื่อง The Shape of water) หนังเรื่องนี้ได้เล่าเรื่องราวถึงพัฒนาการของความสัมพันธ์จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดจบไว้อย่างรวดเร็วแต่ทำให้เห็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และชี้ชวนให้เห็นถึงคนที่มักถูกเรียกว่า เป็นคนชายขอบ ในสังคม เช่น คนผิวสี เพศทางเลือก หรือแม้กระทั่งคนพิการ ซึ่งชวนให้คิดตามเรื่องราวของหนังว่า คนเหล่านี้ถูกลดทอนความสำคัญโดยการกำหนดจากผู้มีอำนาจหรืออะไรก็แล้วแต่ในสังคมว่าเป็นคนที่ต่างจากคนทั่วไป กลับมาในเรื่องของความรู้สึก โดยเฉพาะความรักเช่นเดียวกันซึ่งเรื่องราวได้นำเสนอให้แตกต่างจากความรักทั่วไปที่จะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วยกัน(ภาพทั้งหมดจาก ภาพยนตร์เรื่อง The Shape of water) แต่ว่าหนังได้เสนอถึงเรื่องราวที่มีความงดงามผ่านความรักของทั้งสองที่มีอุปสรรคเรื่องความแตกต่างทางสายพันธ์ุเป็นสิ่งกีดขวางเอาไว้ เช่น เรื่องการอยู่อาศัยที่ต่างกันของคนกับพรายน้ำ ซึ่งความรักของทั้งสองนั้นได้ถูกเสนอผ่านอุปสรรคดังกล่าวและยังมีอุปสรรคจากฝ่ายคน นักทดลอง ผู้มีอำนาจที่ต้องการพรายน้ำอีก ซึ่งทำให้กลายเป็นความงดงามตามจินตนาการแบบเทพนิยายโดยผ่านอุปสรรคต่างๆ และยังมีเพื่อนๆ ของแม่สาวผู้ไร้เสียง ทั้งคนผิวสี และเพศทางเลือกคอยช่วยเหลือทั้งสองตั้งแต่ตอนเริ่มต้น ด้วยเหตุผลที่ช่วยหรือเอามือไปซุกหีบของทั้งสองนั้น อาจจะช่วยเหลือแบบไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ เช่น ตกกระไดพลอยโจน หรือทำเพราะตัวเองรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งมันทำให้มองเห็นในมุมมองความเป็นจริงที่เห็นจากในหนังว่า มีความพยายามในการสร้างตัวตนและทำให้กลายเป็นผู้ถูกยอมรับในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มีความแตกต่างกันรวมทั้งคนชายขอบต่างๆ ด้วย (ภาพจาก ภาพยนตร์เรื่อง The Shape of water) ความรักแบบเทพนิยาย และความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่ได้ถูกนำเสนอในหนังทำให้เห็นถึงความเป็นตัวตนเฉพาะที่มีของแต่ละตัวละครและมีเรื่องราว เหตุการณ์ของแต่ละตัวละครที่แสดงความเป็นตัวตนของตัวละครนั้น เช่น แม่บ้านผิวสีที่มักจะบ่นเรื่องราวของสามีในบ้านตนให้นางเอกฟัง หรือความรักเพศเดียวกันของไจลส์เพื่อนของนางเอก และผลลัพธ์ของเรื่องราวเหล่านี้หนังได้เชื่อมโยงเรื่องราวไปสู่เรื่องราวความรักของนางเอกได้อย่างสวยงาม ทำให้ความไม่สมเหตุสมผลในตอนแรกได้หายไปด้วย และบทสรุปสุดท้ายที่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันทำให้เห็นถึงการละทิ้งความเป็นตัวตนของอีกฝ่ายเพื่อที่จะทำให้ได้อยู่ด้วยกัน ที่หนังได้เล่าเหมือนกับว่า นางเอกเหมือนไม่ใช่คนนั้น มันทำให้เราคิดไปเองว่า ถ้าจะให้ความสัมพันธ์ที่มีความแตกต่างเป็นข้อจำกัดนี้ไปกันรอดนั้น ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปรับตัวเพื่อความสัมพันธ์นั้นเสมอ โดยละทิ้งตัวตน ธรรมชาติของตนเองเพื่อสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เลยทำให้หนังต้องเสนอถึงความเป็นไปได้ของความรักในรูปแบบนี้และจบลงอย่างงดงาม (ภาพทั้งสองจาก ภาพยนตร์เรื่อง The Shape of water)