รีเซต

“วู้ดดี้” ในวันที่เคยดังเปรี้ยงแต่ทุกข์ที่สุดในชีวิต!? เปิดใจเป็น LGBTQ ไม่ต่างกับมะเร็งในใจ

“วู้ดดี้” ในวันที่เคยดังเปรี้ยงแต่ทุกข์ที่สุดในชีวิต!? เปิดใจเป็น LGBTQ ไม่ต่างกับมะเร็งในใจ
Jeaneration
11 ตุลาคม 2568 ( 14:22 )
30

เรียนรู้ชีวิตกับ วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรและครีเอเตอร์ชื่อดังผ่านรายการ Life Line ในทุกช่วงวัยไปจนถึงปัจจุบัน ย้อนเส้นทางชีวิตตั้งแต่วัยเด็กในต่างประเทศ สู่วันที่ต้องปรับตัวอย่างหนักเมื่อกลับมาอยู่เมืองไทย ทั้งเรื่องเพศสภาพ การถูกล้อเลียน การเป็นเกย์เหมือนมะเร็งร้ายในใจ หายได้ในวันที่พ่อแม่ยอมรับ อยากได้เรตติ้งในวันนั้นแต่รับไม่ได้ที่มีคนเกลียด เคยดังสุดในประเทศ แต่กลับทุกข์ที่สุดในชีวิต? และการหาความหมายของชีวิต นั่นคือปรัชญาที่ผลักดันให้เขายังสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ต่อเนื่องกว่า 20 ปีจนกลายเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของวงการสื่อไทยในยุคนี้

ช่วงแรกของชีวิตนี้ 0-15 มีอะไรที่เป็นโมเมนต์ที่จดจำทั้งบวกและลบ?

วู้ดดี้ : คือครอบครัวล้วน ๆ ภาพที่จำได้ก็คือนั่งอยู่ที่เมืองหนึ่งในรัฐนิวยอร์ก หิมะกำลังตก นั่งอยู่ในเทรเลอร์ แล้วมีพ่อแม่ น้องชาย ผมนั่งอยู่ข้างเตาผิง ภาพในวันนั้นมันยังติดตาอยู่ในตัวผม เพราะเป็นภาพที่ครอบครัวเรามีความสุขมาก ครอบครัวข้าราชการนะครับ คุณพ่อรับราชการกระทรวงการต่างประเทศ การที่ครอบครัวเรารักกันมันเป็นสิ่งที่มันประทับใจมาก การเดินทางร่วมกัน เพราะว่าคุณพ่อเป็นนักการทูต ก็เลยจะต้องย้ายไปประเทศสิงคโปร์ ไปอเมริกา ภาพนี้ครับ คือภาพที่ย้อนกลับไปทีไร ใครถามเรื่องวัยเด็กก็จะมีภาพนี้นั่งกันอยู่ 4 คนในห้องนั่งเล่น ข้างนอกหิมะตก คือความสมบูรณ์แบบของชีวิต

เวลาเป็นเด็กแล้วต้องย้ายไปหลาย ๆ ประเทศ มันเป็นยังไง สนุกไหม?

วู้ดดี้ : มันมีความตื่นเต้นว่าเราจะมีเพื่อนใหม่แล้วนะ จะมีสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต จะมีโอกาสใหม่ ๆ เข้ามา นั่นก็คือครั้งแรกที่มองว่าเราชอบโอกาสมาก ต้องย้ายทุก 4 ปีจะต้องมีการโยกย้าย พ่อแม่คืออยากทำอะไรก็ให้ทำ ถ้าพูดถึงในวัยเด็กมาก ๆ ก็คือตอนนั้น Demi Moore, Bruce Willis เขาสร้างค่ายยุวชนขึ้นมาก็จะประกอบไปด้วย นักแสดง ศิลปินรุ่นเด็ก ที่อาจจะไม่สามารถเข้าถึงการสอนที่มันราคาสูง ตอนนั้นเราเข้าไปสมัครอยู่ในค่ายของเขาในตอนเด็ก เลยได้เรียนรู้จาก Bruce และ Demi Moore ในช่วงหนึ่งของชีวิตในวัย 10 กว่าขวบ

เป็นการเตรียมพร้อมทุกอย่างที่จะเป็นนักแสดงในแบบที่พูดได้ทุกภาษา?

วู้ดดี้ : นั่นก็คือฝันของวู้ดดี้ก็คือเป็น ธงไชย แมคอินไตย จะเป็นพี่เบิร์ดในภาพมีแค่นี้ไม่มีอะไรนอกจากนั้น ตอนที่อยู่อเมริกากับการที่ฟังเพลง หาดทรายสายลมสองเรา ในหัวตอนนั้นคือเราจะเป็นพี่เบิร์ดและอะไรที่มันใกล้เคียง ในวันนั้นมันมีละครเวทีเป็น Musical ใกล้เคียงกับสิ่งที่พี่เบิร์ดทำ ก็ไปสมัครตอนอยู่นิวยอร์กอะไรก็ตามที่มันเกี่ยวกับการแสดง การร้องเพลง ชีวิตมันคิดว่ามีแค่นี้ สุดท้ายก็อกหักตรงที่ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันสมัครเข้าไปจะไปเล่นละคร Broadway กำลังจะได้เล่นแล้ว พ่อแม่ก็บอกว่ากลับมาอยู่เมืองไทย ฝันที่เราอยากจะเป็นศิลปินนักร้องนักแสดงที่ Broadway ตอนนี้เราก็กำลังจะกลายเป็นคนไทยคนหนึ่ง ใช่คำนี้เพราะว่าตอนนั้นเราไม่รู้จักว่าเมืองไทยคืออะไร มันช็อกไง กลับมาแล้วจะเป็นอะไรเหรอในเมืองไทยเป็นข้าราชการแบบพ่อที่เงินเดือนก็ไม่ได้สูง เพราะเรารู้ว่ากลับไปแล้วมันจะใช้ชีวิตอยู่ตึกแถว บ้านอยู่นางเลิ้ง ถึงแม้ว่าจะเรียนโรงเรียนนานาชาติ แต่ซัมเมอร์ก็ไปโรงเรียนวัด นั่งรถเมล์ไปโรงเรียน นั่งมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียน พี่เดินกับน้องชาย 2 คน ชีวิตพี่ไม่ได้มาจากความรวยอะไรเลยทั้งสิ้น

ตอนนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการและแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ในวัยเด็กเป็นยังไงถูกล้อเลียนหรือเปล่า?

วู้ดดี้ : คุณต้องเข้าใจเราก่อนว่าการที่เป็น LGBTQ ตื่นมาทุกวันมันจะคิดเลยว่าโลกจะยอมรับเราได้ไหม ตื่นมาแล้ว ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือทำไมคุณต้องเป็นอย่างงี้ พ่อแม่จะยอมรับเราได้เลยไหม เหมือนมะเร็งก้อนหนึ่งอยู่ในร่างกาย ที่คุณไม่รู้จะเอาออกได้หรือเปล่า แล้วถ้าเกิดว่าท่านยอมรับไม่ได้ มันอยู่ในนั้นจนตายนะ พ่อแม่จะรับได้ไหม เราก็เลยหาอะไรมากลบปมตรงนั้น โดยการไปหาความสามารถพิเศษ ไปหาความเก่ง ไปหาการศึกษา ไปหาการเรียน ไปหาตัวตน ไปหาการแสดง ไปหาทุกอย่าง เพื่อจะเติมให้ตัวเองได้คุณค่า ช่วงนั้นที่กลับมาเมืองไทยเห็นอะไรทำได้ก็ทำไปเลย เพราะเรายังไม่ได้เปิดตัวกับพ่อแม่ สุดท้ายมันก็เป็นบวกสำหรับเรา เชื่อว่าทุกอย่างดีเสมอ เพราะในวันนั้นเราก็ไม่มีปัญญาพอ เพราะว่าอาจจะไม่มี TikTok ที่จะมาบอกว่าให้บอกพ่อแม่ไปเลย แล้วไม่มีไอดอลที่ออกมาพูดบอกว่าการเป็นอย่างงี้ การเป็นเกย์เป็นเรื่องปกติ ผมเป็นคนที่สุดโต่ง ทำอะไรผมสุด ดังนั้นความรู้สึกจะสุดเช่นเดียวกัน ผมไม่มีกลางๆ นี่คือนิสัยของวู้ดดี้

กลับมาอายุช่วงปี 2546 ยุคไหนยุค 90

วู้ดดี้ : ตอนนั้นกลับมาแล้วก็เห็นว่าฝันที่จะเป็นนักแสดง หรือฝันว่าจะเป็น VJ ใน MTV สมัยก่อน เราก็เห็นว่า VJ มันดีแล้วเท่ดี แล้วไม่คิดว่าสิ่งที่เรา manifest อยู่ในวันนั้น มันจะมาเป็นจริงเพราะว่าอีกไม่นานพอเราเรียนจบปั๊บ MTV ก็มาไทยแลนด์ แล้วเราก็ไปสมัครปรากฏว่าก็ได้เข้า MTV เป็น VJ รุ่นหนึ่งเลย เราก็เรียนหนังสือให้จบ เรียนเศรษฐศาสตร์ เพราะว่าพ่อเรียนเศรษฐศาสตร์ ก็เป็นหน้าที่ของชีวิต แล้วเดี๋ยวมันจะ connect เอง แล้วก็ได้โฉบไปทำละครเวทีกับ พี่บอย ถกลเกียรติ ซึ่งเป็นละครเวทีเรื่องแรก ก่อนที่เขามีรัชดาลัยเรื่องวิมานเมือง เล่นเป็นตัวร้ายของเรื่อง เข้าฉากแค่ 5 นาที แล้วก็ตาย ตอนนั้นผมตัดสินใจว่า คงไม่ใช่นักแสดงแล้วล่ะ ไปเบื้องหลังดีกว่า เพราะจากที่เป็นดีเจวันนั้นแฮปปี้มีความสุข วันที่พี่ฉอดแบบบอกว่า ยินดีด้วยคนรักยูมาก แล้วคนก็เกลียดยูมากด้วย

ทำไมถึงรัก ทำไมถึงเกลียด?

วู้ดดี้ : เขาบอกนี่ก็คือดังไง จะเป็นคนในสื่อก็ต้องเป็นอย่างงี้ต้องมีคนชอบหรือไม่ชอบยูทำใจได้ไหม เขาถามผมตอนนั้นผมทำใจไม่ได้ ไม่เอา ผมก็ออก แล้วก็ไปเป็น VJ ต่อ บุคลิกเรามันเป็นบุคลิกที่จะรักก็รัก จะเกลียดก็เกลียด เพราะว่าท่าทางมันน่าหมั่นไส้ แล้วก็ได้เรียนรู้ว่าท่านั้นมันก็นำพาให้เราได้อะไรหลายอย่างในชีวิต

ช่วงแบบวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อ 15-30 มันมีอะไรลบ ๆ ไหม?

วู้ดดี้ : พ่อแม่จะยอมรับได้ไหมว่าเราเป็นเกย์ ผมบอกแล้วว่ามันเป็นมะเร็ง แล้วก้อนมันก็ใหญ่ขึ้นๆ แล้วมะเร็งนั้นก็ถูกผ่าออกเมื่อพ่อแม่บอกเราเลยว่า It's OK. พ่อแม่รับได้ที่ยูเป็นแบบนี้ พี่เข้าไปบอกท่านในตอนอายุ 20 กว่า ท่านไม่เคยถาม ตอนนั้นแม่บอกว่า แม่รู้อยู่แล้ว แต่แม่ก็ไม่กล้า แม่ไม่รู้ตอนนั้นว่ามันควรจะต้องเป็นยังไง มันไม่มีสื่อโซเชียลวันนี้ที่จะสอนพ่อสอนลูก

ถ้าวันนี้เป็นสื่อ ๆ นั้นจะบอกพวกเราว่าอะไร?

วู้ดดี้ : การที่เราจะเกิดมาเป็นอะไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นเพศสภาพไหน เป็นสิทธิของเรา เป็นตัวตนของเรา ต้องมีการให้เกียรติ แต่พ่อแม่ก็ควรจะต้องคำนึงด้วยว่าเขาสามารถที่จะเปิดช่องทางให้พูดคุยกันแบบเปิดอกเปิดใจได้ไหม ยกตัวอย่างเช่น อะไรก็ตามที่ลูกรู้สึกเป็นกังวล แม่พร้อมฟังและแม่พร้อมยอมรับนะ มันเป็นคีย์เวิร์ดแบบนี้ที่จะปลดล็อคเด็กได้ เพราะบางทีบางคนก็ยังไม่รู้ตัวไง สับสนตรงที่ว่าเราเป็นหรือไม่เป็นนะ ชอบผู้หญิง แล้วก็ชอบผู้ชาย ในวันนั้นมันถูกตีกรอบ มันไม่มีคำว่าเกย์ มันคือกระเทยของไทยมันไม่มีคำว่าเกย์ ทุกวันนี้ก็ยังเชื่อว่าคนเราเกิดมาเป็นได้ทุกเพศเลยนะ เรามีต่อมที่เป็นได้ทุกเพศจริง ๆ แล้วก็ยังเปลี่ยนไปมาได้

จำโมเมนต์วันนั้นได้ไหม วันที่เดินเข้าไปพูดบรรยากาศเป็นยังไง?

วู้ดดี้ : ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตรู้เลยว่าวันนี้เป็นวัน D-day วันตัดสิน ตอนนั้นอายุ 21 ไปที่ห้องนอน แม่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง แล้วไปนวดเท้าแม่ พูดว่าแม่ครับมีอะไรจะบอก แม่ก็สวนกลับมาว่า ไม่ต้องบอกลูก แม่เข้าใจแล้วในโมเมนต์นั้นเราเชื่อว่าต่างคนคงไม่กล้าที่จะเผชิญกับคำว่าเกย์ตอนนั้น แต่มันเบาสบาย ยกภูเขาออกจากอกลอยได้ ผมรู้สึกว่าผมบินได้

แล้วคุณพ่อ?

วู้ดดี้ : พ่อเป็นราชการจะบอกว่ายกภูเขาจากอกมันแค่เขาก้อนเดียว เขาแม่คือเขาคิลิมันจาโร  เขาคุณพ่อคือเอเวอร์เรสต์ สูงกว่า คืออีก 4 ปีเพราะในวันนั้นที่คุยกับแม่บทสนทนาจบลงด้วยว่าเดี๋ยวพ่อค่อยว่ากันเนาะ อีกประมาณเกือบครึ่งทศวรรษ กล้าไปเผชิญกับท่านที่ต่างประเทศ ตอนที่ท่านไปรับราชการ ท่านมาหา ท่านมากอดคอ ระหว่างเดินอยู่บนถนน ท่านพูดว่า…ยูเป็นอะไร ไอรับได้ทุกอย่าง ทำไมยูไม่บอกไอเลย ตอนนั้นผมร้องไห้นะ ร้องไห้คือเขาที่ 2 ที่มันอยู่ในอกเรามันยกออกไปแล้ว

ช่วงที่ 3 ของชีวิตอายุเท่าไหร่?

วู้ดดี้ : ช่วง 29-30 คือจุดเริ่มต้น คือไฟที่เราจะมาทำรายการเพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือจุดเริ่มต้นเลยนะรายการไฮโซบ้านนอก รายการ Variety แรกของประเทศ ไทย ที่จับ 3 ไฮโซอยู่ต่างจังหวัด กว่าคนจะดูถึงตอนจบ ดราม่าเยอะมากสนั่นเมือง แล้วมันอยู่ใน Prime Time ช่วงละครด้วยตอนนั้น ช่อง 3 นั่นคือช่วงชีวิตที่ผมค้นพบว่าผมเป็น Creator แล้วในวันนั้นเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ในช่อง 9 วันนั้น มีรายการชื่อ The One รายการเกี่ยวกับสัมภาษณ์ที่เป็นที่สุด เอาที่สุดในวันนั้น ทาทา ยัง แต่ไฮไลท์เลยก็คือ นายกทักษิณ ผมติดต่อไปท่าน Say Yes ไปสัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล พูดจาแบบ Real แล้วอะไรต่อไปหลังจากนั้นในชีวิต เรายังอยากคุยอยากเรียนรู้ก็เลยเป็นที่มาของ เกิดมาคุย มันหาดูได้ยากไหม แขกคนนี้ไม่เคยออกรายการ ถูกที่ถูกเวลา มันอยู่ในกระแสคนพูดถึงไหม มันก็เลยจุติ Set Program เลยว่าเพื่อความสำเร็จต้อง Real ต้อง Rare ต้องนั่งไขว่ห้าง แล้วต้องมองแขกแล้วถามคำถามที่ตรงที่สุด ตรง ให้มันบาด เพราะคนจะดู แล้วทุกคนจะพูดถึงกระแสนี้ เป็นช่วงที่ให้ตัวเองเต็ม 10 ไม่มีความกลัว มีแต่ความมั่น มั่นเกินด้วย ซึ่งพลังงานในวันนั้นมันจึงทำให้เราเป็นอันดับ 1 ในทีวี

มันนำพามาซึ่งโอกาสแต่มันพาอะไรบางอย่างมาไหมที่ให้เราได้เรียนรู้ เวลาที่ดังมาก อยู่ในกระแสมาก ?

วู้ดดี้ : ก็จะลบ 10 ของความรู้สึกที่คนไม่ชอบเรา ความรู้สึกที่ดาราทุกคนบอกว่าไม่กล้าออกรายการพี่ พอออกไปยังไงก็มีแต่เสีย เพราะในวันนั้นพูดอะไรคนก็หาว่าโกหก มันเลยทำให้เราตั้งคำถามว่าแล้วรายการเราได้ประโยชน์อะไรกับคนดู ประโยชน์อยู่ตรงไหน นอกจากความสะใจ นอกจากเรตติ้ง นอกจากความบันเทิง แล้วทุกข์ใจมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือ…”ไม่ชอบอ่ะเก็ก เว่อร์”  ไม่มีใครอยากจะให้คนไม่ชอบไง เรายอมรับตรงนั้นแต่ทำไมความรู้สึกเราไม่โอเค  มันย้อนแย้ง คุณอยากได้เรตติ้งในวันนั้น แต่คุณรับไม่ได้ที่คนไม่ชอบคุณ ผมเป็นที่เซ็นสิทีฟ เป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนมากๆ วันนั้นก็เลยเกิดคำถามว่ายังจะอยู่กับพลังงานนี้ไหม ไหวไหม ก็ได้คำตอบว่าไม่ พอแล้ว

การย้ายครั้งนี้ไปทำอะไรที่มันตอบโจทย์กับใจตอนนั้น เพราะเป็นรายการที่อยู่มานานมาก?

วู้ดดี้ : ตอนนั้นได้ไปตกผลึกย้อนกลับไปดูว่าเราเกิดมาทำไม แล้วเกิดมาเพื่ออะไร? ไม่มีคำตอบในตอนนั้น เพราะอยากได้คำตอบที่ไปต่อได้กับชีวิต เลยตัดสินใจมองกลับไปดู ก้าวต่อไปของเราจะเปลี่ยนประเทศไทย โดยการเริ่มต้นจากตัวเราก่อนทำ Sixpack ดูแลร่างกายเข้ายิม พอจัดร่างของคุณนิสัยใหม่ก็จะมา พลังงานมาทันที แล้วตอนนั้นก็จิตวิญญาณด้วยว่า บวช จากนั้นตั้งเป้าเลยว่าอะไรไปต่อ จับงานสงกรานต์เอาให้มันเป็น World Class สร้างมันขึ้นมาจากว่างเปล่า สร้างขึ้นมาเลยว่าเป็นเทศกาลที่จะมีดีเจระดับโลกมารวมตัวกัน ทุกคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เราเชื่อว่าจะเป็นไปได้  ได้ 3 สิ่งที่เกิดขึ้น 1 เห็นเลยว่า S2O งานระดับโลกเราทำได้ คือขึ้นเวที Mr.Thailand การแข่งเพาะกาย และ 3 ก็คือขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่รอลงอาญา คดีที่ผมไปหมิ่นคน ๆ หนึ่ง ซึ่งในวันนี้ได้ถ่ายรูปร่วมกันแล้วก็บอกว่าเราผ่านอะไรกันมาเยอะนะ ขอบคุณกันและกันที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง การขึ้นศาลในครั้งนั้น ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าจะพูดอะไร อย่าไปพูดแล้วก็ discredit ใคร ต้องระวัง แล้วการที่เป็นสื่อเราไม่ควรใดๆที่จะใช้พื้นที่ไป  discredit ผู้อื่น ทั้งหมดเกิดขึ้นในสัปดาห์เดียวกัน

วันนี้ S2O มีกี่ประเทศ?

วู้ดดี้ : ไทย  ไต้หวัน  เกาหลี  ญี่ปุ่น  ฮ่องกง  นิวยอร์ก  Los Angeles ทั้งหมด 7 แห่ง จัดมากี่ปีแล้ว 10 ปีครับ คนมาต่อ 1 เมืองก็ประมาณ 5 แสนคน มันเป็นภาพที่เราเห็นชัด ว่าเมื่อวันนั้นที่เราสร้าง S20 ขึ้นมา มันจะทำให้การท่องเที่ยวกระเพื่อมในอีกมิติหนึ่ง

Chapter ต่อไปของ วู้ดดี้ ช่วงนี้ 40 ปีเป็นต้นไป เป็นยังไง?

วู้ดดี้ : เอาปัจจุบันแล้วกัน มองว่าเราอยู่ในช่วงผ่าน Mid Life เพราะนี้กำลังจะ 50 มันมีคาถาที่พี่ท่องกับทุกเรื่องราวในชีวิต มี 4 พยางค์ก็คือ This too shall pass ท่องไว้เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป กับทุก ๆ เรื่องในชีวิตก็เลยเป็นคาถาวิเศษที่เก็บไว้ในใจตลอดเวลา จนถึงวันนี้ก็ยังใช้มันอยู่ทุกวัน

สามารถติดตาม  "LifeLine"  ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot  เวลา 18.00 น.