รีเซต

ดอล์ฟ ลันด์เกรน ผิดหวังที่บทของเขากับ แอมเบอร์ เฮิร์ด ที่ถูกลดใน "Aquaman and the Lost Kingdom"

ดอล์ฟ ลันด์เกรน ผิดหวังที่บทของเขากับ แอมเบอร์ เฮิร์ด ที่ถูกลดใน "Aquaman and the Lost Kingdom"
แบไต๋
15 มกราคม 2567 ( 11:00 )
51

อย่างที่ทราบกันดีว่า กว่าที่ ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ (2023) หนังภาคต่อ ‘Aquaman’ (2018) และหนังซูเปอร์ฮีโรเรื่องสุดท้ายของจักรวาล DCEU ก่อนรีเซตจักรวาลไปสู่จักรวาล DCU จะได้ฤกษ์เข้าฉายไปเมื่อปีที่แล้วตัวหนังต้องผ่านอุปสรรคในการปรับแก้ไขบท รวมทั้งการถ่ายซ่อม และการตัดต่ออยู่หลายต่อหลายครั้ง และต้องเผชิญการเลื่อนโปรแกรมฉายออกไปหลายต่อหลายครั้ง

โดยเฉพาะการปรับลดบทบาทของราชินีเมรา (Mera) ที่นำแสดงโดย แอมเบอร์ เฮิร์ด (Amber Heard) จนเหลือแค่เป็นบทสมทบที่มีบทพูด ซึ่งไม่ได้กระทบต่อแอร์ไทม์ของเฮิร์ดที่ร่วมแสดงในหนังอย่างเดียว แต่กระทบไปถึงแอร์ไทม์ของบทสมทบอีกตัวละครอย่าง คิงเนเรอัส (King Nereus) ราชาแห่งอาณาจักรแห่งเซเบล (Kingdom of Xebel) พ่อของเมรา ที่มีบทบาทอยู่พอสมควรในภาคแรก แต่กลับโดนหางเลข ถูกตัดบทบาทไปด้วยแบบแทบจะจำไม่ได้ว่ามีบทบาทอะไรกันแน่ในภาคนี้

โดยล่าสุด ดอล์ฟ ลันด์เกรน (Dolph Lundgren) นักแสดงสายแอ็กชันชาวสวีเดน ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาเขาจากหนังกีฬามวย ‘Rocky IV’ (1985) และแฟรนไชส์หนังแอ็กชัน ‘The Expendables’ และเจ้าของบทบาท คิงเนเรอัส จาก ‘Aquaman’ ทั้ง 2 ภาค ได้เปิดเผยกับเว็บไซต์ UPI ในการโปรโมทหนังแอ็กชันเรื่องล่าสุดของเขา ‘Wanted Man’ ซึ่งลันด์เกรนได้ยืนยันว่า เขารู้สึกผิดหวังต่อการถูกตัดบทบาทของเขา และเมราใน ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ อย่างมาก และเขาเองรู้สึกชอบบทเวอร์ชันดั้งเดิม มากกว่าเวอร์ชันที่ฉายในโรง

“ความคิดเห็นของผมก็คือ ผมคิดว่าบทเวอร์ชันต้นฉบับนั้นยอดเยี่ยมมาก ผมมีบทบาทที่ใหญ่กว่า รวมทั้งบทบาทของ แอมเบอร์ เฮิร์ด ก็ใหญ่กว่าด้วย ผมคิดว่าสตูดิโอเคงตัดสินใจว่าจะถ่ายทำฟุตเทจใหม่ เพื่อพยายามจะสร้างเนื้อเรื่องที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย แต่นั่นคงเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะคุณคงไม่สามารถถ่ายใหม่ทั้งเรื่องได้”

กว่าที่ ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ จะได้เข้าโปรแกรมฉายในวันที่ 21 ธันวาคม ตัวหนังเต็มไปด้วยรายงานปัญหาด้านการผลิตจิปาถะ โดยเฉพาะการปรับหลังจากกระแสในการฉายรอบ Screen Test ที่ยังไม่น่าพอใจ รวมทั้งการพยายามแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางอย่างในหนัง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดจักรวาล DCU แม้แนวทางของ ‘Aquaman’ ที่ เจมส์ วาน (James Wan) วางเอาไว้ตั้งแต่แรกจะมีเจตนาต้องการให้ตัวหนังมีความเป็นเอกเทศ และไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับหนังฮีโรของ DC เรื่องอื่น ๆ ก็ตาม

ในขณะที่ The Hollywood Reporter ได้รายงานว่า หนังภาคต่อของ ‘Aquaman’ เรื่องนี้จะมีนักแสดงรับเชิญมาปรากฏตัวด้วย ทั้ง เบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) แบทแมน Snyderverse รวมทั้ง ไมเคิล คีตัน (Michael Keaton) แบทแมนฉบับ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ที่ วอลเตอร์ ฮามาดะ (Walter Hamada) อดีตประธานของดีซี ฟิล์ม (DC Films) ต้องการจะให้เป็นตัวละครที่สามารถปรากฏตัวได้ในหลาย ๆ ไตเติลของ DC ซึ่ง เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ได้โพสต์ภาพของเขากับแอฟเฟล็กเพื่อเป็นการยืนยันว่าจะมาปรากฏตัวแน่ ๆ

แต่ด้วยผลจากการยกเครื่ององค์กร Warner Bros. Discovery ครั้งใหญ่ และผลจากการยกเลิกฉายหนัง ‘Batgirl‘ ที่มีคีตันปรากฏตัวท้ายเรื่อง รวมทั้ง เจมส์ กันน์ (James Gunn) และ ปีเตอร์ ซาฟราน (Peter Safran) ผู้บริหารคนใหม่ของ DC Studios ไม่ต้องการให้คนดูติดค้างและสับสนกับภาพจำจาก DCEU ก่อนจะเปลี่ยนผ่านสู่ DCU หลังจากที่จักรวาลถูกรีเซ็ตไปแล้วใน ‘The Flash’ (2023)

อีกอุปสรรคที่หนังเรื่องนี้ต้องซ่อมก็คือ บทบาทของเฮิร์ดในบทราชินีเมรา ซึ่งเป็นผลจากคดีความที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอเองที่ถูกอดีตสามีฟ้องร้องในคดีความหมิ่นประมาท ซึ่งก่อให้เกิดประเด็นถกเถียงมากมาย โดยเฉพาะการพบพิรุจบางอย่างเกี่ยวกับหลักฐาน และคำให้การที่ขาดความสมเหตุสมผลในการโจมนตีอดีตสามี จนทำให้เธอโดนกระแสแอนตี้ตีกลับ ส่งผลให้มีการเรียกร้องให้มีการตัดบทบาทของเฮิร์ดออกไป หรือไม่ก็แคสต์นักแสดงคนใหม่มารับบทแทน

จนนำไปสู่ความพยายามในการลดบทบาทของเฮิร์ดลง และหันไปเน้นเส้นเรื่องการผจญภัยค้นหาอาณาจักรที่สาบสูญของคู่หูพี่น้องต่างพ่อ อาร์เธอร์ เคอร์รี (Arthur Curry) หรือ Aquaman และ ออร์ม (Orm) ตามที่วานได้เปิดเผยออกมาแทน จนถ้าใครที่ได้ชมแล้วก็จะพอจับทางได้ว่า จริง ๆ แล้ว แม้บทบาทของเมราจะถูกกั๊กเอาไว้จนดูเหมือนว่าจะมีแต่ก็ไม่มี แต่ด้วยความที่เมรานั้นมีแอร์ไทม์อยู่ในหนังมากกว่าที่หลายคนคาดการณ์ ก็เป็นเหมือนตัวชี้ให้เห็นว่า แต่เดิมแล้วบทบาทเมราของเฮิร์ดนั้นน่าจะมีความสำคัญต่อเรื่องในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

แต่บทบาทที่เรียกได้ว่าแทบจะจำไม่ได้ว่าออกซีนไหน ก็คงหนีไม่พ้นบทบาทคิงเนเรอัสของลันด์เกรน ที่ได้ทิ้งท้ายในบทสัมภาษณ์ในเชิงแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในหนัง และแม้ว่าเขาเองจะผิดหวังจากการถูกตัดบทบาทในหนังจนแทบไม่เหลือ แต่เขาเองก็คงไม่ได้หดหู่กับเรื่องนี้นาน ๆ

“เมื่อคุณเริ่มใส่องค์ประกอบของเรื่องราวที่แตกต่างกันเข้าไปในบางสิ่งที่อยู่รวมกันอยู่แล้ว มันก็อาจจะทำให้มีปัญหาได้ คือสำหรับผม มันก็น่าหงุดหงิดอยู่หน่อย ๆ ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่ยังไงซะ ชีวิตก็ต้องก้าวเดินต่อไป”


ที่มา: UPI, CBR